กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) คืออะไร
กราฟแท่งเทียน Candlestick คือ กราฟที่ใช้แสดงความเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ โดยกราฟแท่งเทียนสามารถบอกถึงราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาแสดงในรูปแบบของแท่งเทียนที่มีสีและรูปร่างต่างๆ ตามการเคลื่อนไหวของราคา กราฟแท่งเทียนมีความสำคัญต่อนักวิเคราะห์ทางเทคนิคเนื่องจากสามารถให้ข้อมูลที่หลากหลายและลึกซึ้งเกี่ยวกับพฤติกรรมของราคาและจิตวิทยาของผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดได้ ด้วยการรวบรวมข้อมูลต่างๆ และวิเคราะห์รูปแบบของกราฟแท่งเทียน นักเทรดสามารถทำนายทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ดีขึ้น และใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจซื้อหรือขาย
กราฟแท่งเทียน Candlestick นับเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญสำหรับนักวิเคราะห์ทางเทคนิคเนื่องจากมีข้อมูลที่ครบถ้วนในการทำนายทิศทางของตลาด ไม่เพียงแค่ราคาเปิดและปิด เรายังสามารถทราบถึงราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลานั้นๆ ทำให้นักวิเคราะห์สามารถเห็นภาพรวมของตลาดและจิตวิทยาของผู้ซื้อและผู้ขายได้ ทั้งนี้ มีหลากหลายรูปแบบของแท่งเทียนที่เป็นสัญญาณในการทำนายทิศทางราคา ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเทียน Hammer, Doji, Engulfing ซึ่งแต่ละรูปแบบนั้นมีความหมายและสามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์กราฟได้ ด้วยเหตุนี้ การเรียนรู้และเข้าใจการอ่านกราฟแท่งเทียนจึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ
ความเป็นมากราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart)
ภาพประกอบจาก en.wikipedia.org
- กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) ถูกคิดค้นโดย Honma Munehisa ชาวญี่ปุ่น
- การคิดค้นกราฟแท่งเทียนเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2267
- Honma Munehisa ออกแบบกราฟแท่งเทียนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ตัวเลขของกิจการครัวเรือนของเขา
- ความรู้เกี่ยวกับกราฟแท่งเทียนถูกถ่ายทอดผ่านหนังสือ “ซากาตะ เฮนโซ” (SAKATA HENSO) และ “โซบะ ซาไออิ โน เดน” (SOBA SAIN NO DEN)
- ในปี พ.ศ. 2525 กราฟแท่งเทียนได้ถูกนำไปใช้ในตลาด Forex และสินทรัพย์อื่นๆแถบตะวันตก
- ในปี พ.ศ. 2530 กราฟแท่งเทียนได้ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ตลาด Forex และสินทรัพย์อื่นๆของประเทศไทย
- กราฟแท่งเทียนมีความสำคัญในการวิเคราะห์และทำนายทิศทางของราคา Forex และสินทรัพย์อื่นๆในตลาดทุกวันนี้
ส่วนประกอบกราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart)
กราฟแท่งเทียน (Candlestick) ประกอบด้วยแท่งเทียนที่แสดงความเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ โดยแท่งเทียนจะมีสองสีหลักคือแท่งสีเขียวที่แสดงถึงแท่งขาขึ้น (Bullish) ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด และแท่งสีแดงที่แสดงถึงแท่งขาลง (Bearish) ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด
แท่งเทียน (Candlestick)
- เป็นส่วนที่แสดงความเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ โดยมีสีเพื่อแบ่งแยกระหว่างช่วงเวลาที่ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด (เช่น สีเขียว) และช่วงเวลาที่ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด (เช่น สีแดง)
ร่างกาย (Body)
- เป็นส่วนกลางของแท่งเทียนที่แสดงระหว่างราคาเปิดและราคาปิด
ไส้ (Wick)
- เป็นเส้นที่ยื่นออกมาจากร่างกายแท่งเทียน แสดงระหว่างราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดในช่วงเวลานั้นๆ
หัวไส้ (Upper Wick) และหางไส้ (Lower Wick)
- หัวไส้คือเส้นที่ยื่นออกจากร่างกายแท่งเทียนไปทางด้านบน แสดงระหว่างราคาปิด (หรือเปิด) กับราคาสูงสุด
- หางไส้คือเส้นที่ยื่นออกจากร่างกายแท่งเทียนไปทางด้านล่าง แสดงระหว่างราคาปิด (หรือเปิด) กับราคาต่ำสุด
ราคาแต่ละจุด
- จุดสูงสุด (High): จุดที่สูงที่สุดของแท่งเทียน
- จุดต่ำสุด (Low): จุดที่ต่ำที่สุดของแท่งเทียน
- ราคาเปิด (Open): ราคาที่เริ่มต้นของแท่งเทียน
- ราคาปิด (Close): ราคาที่สิ้นสุดของแท่งเทียน
- เนื้อเทียน (Body): ช่วงระยะห่างระหว่างราคาเปิดกับราคาปิด
- ไส้เทียน (Shadow): ช่วงระหว่างจุดสูงสุดหรือต่ำสุดกับราคาเปิดหรือปิด แสดงให้เห็นว่าราคาเคยไปถึงจุดนั้นในช่วงเวลานั้น
ลักษณะและความหมาย
กราฟแท่งเทียนมีสามประเภทหลักๆ ได้แก่ แท่งเทียนขาขึ้น, แท่งเทียนขาลง, และแท่งเทียนไร้ทิศทาง (Doji) ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและความหมายดังนี้
- แท่งเทียนขาขึ้น: มีลักษณะสีเขียว โดยราคาปิดอยู่เหนือราคาเปิด ซึ่งบ่งบอกถึงการมีแรงซื้อเข้ามาในตลาด และมีแนวโน้มที่ราคาจะปรับตัวขึ้น
- แท่งเทียนขาลง: มีลักษณะสีแดง โดยราคาปิดอยู่ใต้ราคาเปิด ซึ่งบ่งบอกถึงการมีแรงขายเข้ามาในตลาด และมีแนวโน้มที่ราคาจะปรับตัวลง
- แท่งเทียนไร้ทิศทาง (Doji): เป็นแท่งเทียนที่ราคาเปิดและราคาปิดอยู่ใกล้ๆ กันหรือตำแหน่งเดียวกัน บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนในตลาด ซึ่งแรงซื้อและแรงขายอยู่ในสภาพที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกัน
เกล็ดความรู้ กราฟแท่งเทียน Candlestick Chart
- แท่งขาขึ้น: แท่งเทียนที่มีราคาปิดอยู่เหนือราคาเปิด แสดงถึงการมีแรงซื้อที่แข็งแกร่ง และมักจะทำให้ราคามีโอกาสปรับตัวขึ้น
- แท่งขาลง: แท่งเทียนที่มีราคาปิดอยู่ต่ำกว่าราคาเปิด แสดงถึงการมีแรงขายที่แข็งแกร่ง และมักจะทำให้ราคามีโอกาสปรับตัวลง
- แท่งเทียน Doji: แท่งเทียนที่ราคาเปิดและราคาปิดอยู่ใกล้กันหรือเท่ากัน แสดงถึงการมีแรงซื้อและแรงขายที่เท่ากัน ซึ่งเป็นสัญญาณของความไม่แน่นอนในตลาด
- ไส้เทียน: เป็นส่วนที่แสดงถึงการแกว่งตัวของราคาในระหว่างการซื้อขาย ยิ่งไส้เทียนยาว แสดงถึงการแกว่งตัวที่แรงของราคา
- กราฟ 5 นาที: แท่งเทียนแต่ละแท่งจะมีระยะเวลา 5 นาที ซึ่งเป็นการแบ่งระยะเวลาซื้อขายในตลาดออกเป็นช่วงๆ และเมื่อสิ้นสุด 5 นาที จะมีการปิดแท่งเทียนและเปิดแท่งใหม่
คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ Candlestick Chart
- Candlestick (แท่งเทียน): แท่งที่แสดงราคาเปิด, ราคาปิด, ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด
- Open (ราคาเปิด): ราคาที่เริ่มต้นของแท่งเทียน
- Close (ราคาปิด): ราคาที่สิ้นสุดของแท่งเทียน
- High (ราคาสูงสุด): ราคาที่สูงที่สุดในแท่งเทียน
- Low (ราคาต่ำสุด): ราคาที่ต่ำที่สุดในแท่งเทียน
- Body (เนื้อเทียน): ส่วนของแท่งเทียนที่อยู่ระหว่างราคาเปิดและปิด
- Shadow (ไส้เทียน): ส่วนของแท่งเทียนที่อยู่นอกเหนือจากราคาเปิดและปิด
- Bullish Candle (แท่งเทียนขาขึ้น): แท่งเทียนที่ราคาปิดอยู่เหนือราคาเปิด
- Bearish Candle (แท่งเทียนขาลง): แท่งเทียนที่ราคาปิดอยู่ต่ำกว่าราคาเปิด
- Doji (แท่งเทียนไร้ทิศทาง): แท่งเทียนที่ราคาเปิดและปิดอยู่ในตำแหน่งเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน
- Hammer (แท่งเทียนลูกค้อน): แท่งเทียนที่มีเนื้อเทียนสั้นและไส้เทียนยาวด้านล่าง
- Shooting Star (แท่งเทียนดาวตก): แท่งเทียนที่มีเนื้อเทียนสั้นและไส้เทียนยาวด้านบน
- Engulfing (แท่งเทียนล้อมรอบ): รูปแบบการกลับตัวของตลาด ที่แท่งเทียนหนึ่ง “ล้อมรอบ” แท่งเทียนก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง
- Harami (แท่งเทียนท้องมีลูก): รูปแบบแท่งเทียนที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม โดยแท่งเทียนล่าสุดอยู่ในระยะของแท่งเทียนก่อนหน้า
- Marubozu (แท่งเทียนไม่มีไส้): แท่งเทียนที่ไม่มีไส้เทียน แสดงถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
- Spinning Top (แท่งเทียนหมุน): แท่งเทียนที่มีเนื้อเทียนสั้นและไส้เทียนยาวทั้งสองด้าน
- Dragonfly Doji (แท่งเทียนตัว T กลับหัว): แท่งเทียนที่มีราคาปิดและราคาเปิดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันที่ด้านบน
- Gravestone Doji (แท่งเทียนตัว T): แท่งเทียนที่มีราคาปิดและราคาเปิดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันที่ด้านล่าง
- Inside Bar (แท่งเทียนภายใน): รูปแบบแท่งเทียนที่แสดงถึงความไม่แน่นอนในตลาด
- Outside Bar (แท่งเทียนภายนอก): รูปแบบแท่งเทียนที่แสดงถึงการกลับตัวของแนวโน้ม
- Piercing Line (แท่งเทียนทะลุสูง): รูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้น
- Dark Cloud Cover (แท่งเทียนปกคลุมมืด): รูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง
- Three White Soldiers (สามทหารสีขาว): รูปแบบแท่งเทียนที่ประกอบไปด้วยแท่งเทียนขาขึ้นสามแท่งติดต่อกัน บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของตลาดซื้อ
- Three Black Crows (สามอีกาสีดำ): รูปแบบแท่งเทียนที่ประกอบไปด้วยแท่งเทียนขาลงสามแท่งติดต่อกัน บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของตลาดขาย
- Shooting Star (ดาวตก): แท่งเทียนที่มีรูปร่างคล้ายดาวตก บ่งบอกถึงการกลับตัวของตลาดจากขาขึ้นเป็นขาลง
- Hammer (ค้อน): แท่งเทียนที่มีรูปร่างคล้ายค้อน บ่งบอกถึงการกลับตัวของตลาดจากขาลงเป็นขาขึ้น
- Morning Star (ดาวเช้า): รูปแบบแท่งเทียนที่ประกอบไปด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้น
- Evening Star (ดาวเย็น): รูปแบบแท่งเทียนที่ประกอบไปด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง
- Tweezer Top (คีมบน): รูปแบบแท่งเทียนที่มีไส้เทียนยาวๆ ด้านบน บ่งบอกถึงความพยายามของตลาดในการพลิกกลับ
- Tweezer Bottom (คีมล่าง): รูปแบบแท่งเทียนที่มีไส้เทียนยาวๆ ด้านล่าง บ่งบอกถึงความพยายามของตลาดในการพลิกกลับ
- Gap (ช่องว่าง): รูปแบบที่แท่งเทียนหนึ่งไม่ต่อเนื่องกับแท่งเทียนก่อนหน้า ซึ่งจะสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดระหว่างซื้อและขายที่รวดเร็ว
- Support (แนวรับ): ระดับราคาที่ถือว่าเป็นจุดที่ราคาหุ้นไม่น่าจะต่ำกว่านี้ในระยะเวลาที่กำหนด
- Resistance (แนวต้าน): ระดับราคาที่ถือว่าเป็นจุดที่ราคาหุ้นไม่น่าจะสูงกว่านี้ในระยะเวลาที่กำหนด
การใช้กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) มีหลักการอะไรบ้าง
สังเกตแนวโน้มของราคา
- หากแท่งเทียนมีลักษณะขาขึ้นและเป็นสีเขียวต่อเนื่องกันหลายแท่ง แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น
- หากแท่งเทียนมีลักษณะขาลงและเป็นสีแดงต่อเนื่องกันหลายแท่ง แสดงถึงแนวโน้มขาลง
ตรวจสอบแรงซื้อและแรงขาย
- หากแท่งเทียนเป็นสีเขียวและมีเนื้อเทียนที่ยาว แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง
- หากแท่งเทียนเป็นสีแดงและมีเนื้อเทียนที่ยาว แสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง
ตรวจสอบการแกว่งตัวของราคา
- หากไส้เทียนยาว แสดงถึงการแกว่งตัวของราคาที่มีความแรง
สังเกตรูปแบบของกราฟ
- มีรูปแบบกราฟแท่งเทียนหลายแบบที่ช่วยในการทำนายทิศทางของราคา เช่น Doji, Hammer, Engulfing ฯลฯ การสังเกตรูปแบบเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ทิศทางราคาได้ดียิ่งขึ้น
ผสมผสานกับเครื่องมืออื่น
- กราฟแท่งเทียนมักจะใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น แนวรับแนวต้าน, การวิเคราะห์โวลุ่ม, ตัวชี้วัดทางเทคนิค (indicators) เพื่อให้การวิเคราะห์มีความแม่นยำมากขึ้น
รู้จักจำกัดความเสี่ยง
- การใช้กราฟแท่งเทียนจะช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดจุดหยุดขาดทุน (Stop-Loss) และจุดเก็บกำไร (Take-Profit) ได้ง่ายขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ฝึกวิเคราะห์กราฟอย่างสม่ำเสมอ
- การวิเคราะห์กราฟแท่งเทียนจำเป็นต้องมีการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้นักลงทุนสามารถสังเกตและรู้จักทำความเข้าใจกับรูปแบบต่างๆ ได้ดีขึ้น
อย่าละเลยข่าวสารและปัจจัยพื้นฐาน
- แม้กราฟแท่งเทียนจะเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ดี แต่นักลงทุนก็ไม่ควรละเลยข่าวสารและปัจจัยพื้นฐานที่อาจมีผลกระทบต่อราคาหุ้น
ติดตามสถานการณ์ตลาดโดยรวม
- กราฟแท่งเทียนช่วยให้นักลงทุนสามารถรับรู้สถานการณ์ตลาดโดยรวมได้ ทำให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
รู้จักวิเคราะห์ควบคู่ไปกับรูปแบบกราฟอื่นๆ
- การวิเคราะห์กราฟแท่งเทียนควรจะผสมผสานกับรูปแบบกราฟอื่นๆ เช่น กราฟเส้น, กราฟแท่ง, กราฟแบบพุ่ง (point and figure) เพื่อให้การวิเคราะห์มีความครอบคลุมและแม่นยำมากขึ้น
ข้อดีข้อเสียของกราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart)
ข้อดี |
ข้อเสีย |
● แสดงข้อมูลราคาที่ครบถ้วน ได้แก่ ราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด
● สามารถแปลงเป็นรูปแบบต่างๆ เพื่อการวิเคราะห์ที่หลากหลาย ● ช่วยให้เข้าใจทิศทางของตลาดได้ง่าย ● สามารถใช้วิเคราะห์แนวโน้มระยะสั้นและระยะยาว ● ให้ข้อมูลสำคัญที่ช่วยในการทำการตัดสินใจเทรด ● รูปแบบต่างๆ สามารถใช้ระบุจุดพลิกผันของราคา ● ช่วยในการพยากรณ์ทิศทางของราคาในอนาคต ● ใช้ง่าย และมีอยู่ในแพลตฟอร์มการเทรดทั่วไป ● สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ ● ช่วยในการระบุจุดเข้าและจุดออกของการเทรด |
● บางครั้งอาจต้องใช้เวลาในการศึกษาและเรียนรู้
● บางรูปแบบอาจทำให้เกิดการตีความที่ผิดพลาดได้ ● ต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์อย่างละเอียด ● บางครั้งอาจทำให้เกิดความสับสนได้ ● ไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือเดียวในการวิเคราะห์ได้ ● บางครั้งสัญญาณที่ได้อาจล่าช้า ● ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบสัญญาณที่ได้ ● บางครั้งอาจให้สัญญาณที่ผิดพลาดได้ ● การวิเคราะห์อาจต้องพึ่งพาความชำนาญและประสบการณ์ ● บางครั้งสัญญาณที่ได้อาจต้องใช้การตรวจสอบอื่นๆ เพื่อยืนยัน |