จำนวนคนว่างงานที่ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน (Claimant Count)
จำนวนคนว่างงานที่ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน (Claimant Count) เป็นดัชนีชี้วัดตลาดแรงงาน มันถูกใช้วัดการเรียกผลประโยชน์ของบุคคลที่ว่างงานของประเทศต่างๆ สถิตินี้ยังมีมูลค่าเชิงลึกในการทำให้ทราบถึงสภาพของตลาดแรงงานและภาพรวมของเศรษฐกิจ ทำให้มันเป็นดัชนีที่สำคัญสำหรับนักลงทุน ผู้กำหนดนโยบายและผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ
จำนวนคนว่างงานที่ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน (Claimant Count) คืออะไร
จำนวนคนว่างงานที่ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน (Claimant Count) เป็นการวัดจำนวนของบุคคลที่ได้รับผลประโยชน์จากการว่างงาน ยกตัวอย่างเช่น เงินสวัสดิการผู้ว่างงาน และเครดิตสากล (Universal credit) ที่ให้ในแต่ละประเทศหรือแต่ละภูมิภาค
โดยปกติข้อมูลจะเผยแพร่ทุกเดือนและข้อมูลยังทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดสถานะของตลาดแรงงานในภาครัฐ แม้ว่าตอนนี้จำนวนผู้ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงานจะยังมีข้อมูลที่ยังไม่ครอบคุลมแต่มันก็ช่วยให้ระบุแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานได้ โดยเฉพาะในหมู่ประชากรที่กำลังมองหางาน
ทำไมจำนวนคนว่างงานที่ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน (Claimant Count) ถึงมีความสำคัญ
ข้อมูลของจำนวนผู้ใช้สิทธิ มีความสำคัญหลายประการ ซึ่งสามารถแบ่งเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
- สภาวะของตลาดแรงงาน: จำนวนคนว่างงานที่ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน (Claimant Count) ทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดหลักของสภาวะในตลาดแรงงาน เนื่องจากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของผู้ที่ใช้สิทธิสามารถส่งสัญญาณถึงการเติบโตของการว่างงาน แต่กลับกันหากตัวเลขลดลงสื่อได้ถึงการพัฒนาของตลาดแรงงานที่สูงขึ้น
- การเติบโตของสภาพเศรษฐกิจ: จำนวนคนว่างงานที่ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน (Claimant Count) สามารถบ่งบอกข้อมูลเชิงลึกทางด้านความแข็งแรงของสภาพเศรษฐกิจได้ หากตลาดแรงงานมีความแข็งแรงมักจะสัมพันธ์กับเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นด้วย แต่หากมีอัตราว่างงานที่สูงสามารถบอกได้ว่าสภาพเศรษฐกิจหยุดนิ่งหรือถดถอยลง
- การเงินและนโยบายการคลัง: ผู้กำหนดนโยบายใช้ดัชนีนี้เป็นหนึ่งในตัวแปรที่พิจารณาการเงินและนโยบายการคลัง เนื่องจากหากผู้ใช้สิทธิ์มีจำนวนเพิ่มขึ้นอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางเกิดการลดอัตราดอกเบี้ยให้น้อยลงหรือใช้มาตรการกระตุ้นเพื่อเร่งให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้น
- การตัดสินใจในการลงทุน: ดัชนีนี้ยังสามารถช่วยให้นักลงทุนจัดทำข้อมูลสำหรับการตัดสินใจในการลงทุนของพวกเขา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานสามารถสร้างผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆและยังส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์อื่นๆอีกด้วย
จำนวนผู้ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงานส่งกระทบในตลาดต่อผู้ใดบ้าง
นักลงทุน: จำนวนผู้ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงานสามารถทำให้นักลงทุนทราบถึงข้อมูลเชิงลึกของสภาพตลาดแรงงานและภาพรวมของเศรษฐกิจ อีกทั้งยังช่วยป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับสินทรัพย์ และโอกาสต่างๆในการลงทุน ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้สิทธิอาจทำให้รู้ว่าเศรษฐกิจอ่อนแอลงส่งผลให้นักลงทุนนิยมลงทุนกับหุ้นที่ปลอดภัยหรือลงทุนกับสินทรัพย์ที่ปลอดภัย แต่หากมีผู้ใช้สิทธิลดลงสามารถสื่อได้ว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโต ทำให้นักลงทุนไว้ใจที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงและภาคส่วนต่างๆมีการเติบโตขึ้น
ผู้กำหนดนโยบาย: ผู้กำหนดนโยบายจะใช้จำนวนผู้ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงานในการวัดสภาวะของตลาดแรงงานและกำหนดนโยบายทางการเงินและการคลังได้อย่างเหมาะสม การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้สิทธิอาจทำให้ธนาคารกลางปรับลดดอกเบี้ยลงหรือมีการใช้เครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต แต่หากจำนวนผู้ใช้สิทธิลดลงอาจเป็นตัวนำไปสู่การออกนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดขึ้นเพื่อควบคุมอัตราการเกิดเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นได้
นายจ้าง: จำนวนผู้ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงานสามารถช่วยให้นายจ้างประเมินความพร้อมของแรงงานและระดับการแข่งขันสำหรับตำแหน่งที่ว่างงาน เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจจ้างงานและการกำหนดนโยบายในด้านของค่าจ้าง
แรงงาน: จำนวนผู้ใช้สิทธิสามารถให้ข้อมูลที่มีมูลค่าสำหรับแรงงานที่กำลังมองหาความเข้าใจของสภาวะตลาดแรงงานและความพร้อมของตลาดในการจ้างงาน
จำนวนผู้ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงานส่งผลอย่างไรต่อเทรดเดอร์สกุลเงิน
นักเทรดสายเทรดสกุลเงินส่วนมากจะได้รับผลกระทบจากจำนวนผู้ใช้สิทธิในตลาดแรงงานเนื่องจากมันสามารถส่งผลต่อมูลค่าของสกุลเงินในแต่ละประเทศได้ โดยจำนวนผู้ใช้สิทธิมีอิทธิพลต่อเทรดเดอร์สกุลเงินอย่างไรบ้าง สามารแยกเป็นหัวข้อได้ดังนี้
- ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ: จำนวนผู้ใช้สิทธิสามารถสร้างอิทธิพลต่อภาพรวมของความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในการป้องกันสภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ หากจำนวนผู้ใช้สิทธิมีการเพิ่มหรือลดจะมีอิทธพลต่อสภาพเศรษฐกิจดังนี้
- การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้สิทธิเป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจอ่อนตัวลง ส่งผลให้ค่าเงินของประเทศอ่อนตัวลง
- การลดลงของจำนวนผู้ใช้สิทธิชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจมีความแข็งแรงและมีค่าเงินที่แข็งตัวขึ้น
2. อัตราดอกเบี้ย: ธนาคารกลางเป็นผู้ที่คอยจับตามองตัวชี้วัดของตลาดแรงงานอย่างใกล้ชิด เช่น จำนวนผู้ใช้สิทธิอาจส่งผลต่อการตัดสินเพิ่มหรือลดดอกเบี้ย
- การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้สิทธิอาจทำให้เกิดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและอาจทำให้ค่าเงินอ่อนตัวลงเนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลให้เกิดการร้องเรียนที่น้อยลงของนักลงทุนต่างชาติ
- การลดลงของจำนวนผู้ใช้สิทธิอาจทำให้ธนาคารกลางตัดสินใจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นเนื่องจากการแข็งตัวขึ้นของสกุลเงินนั้นเอง
3. เงินเฟ้อ: การเปลี่ยนแปลงของจำนวนผู้ใช้สิทธิมีอิทธิพลต่อการคาดการณ์อัตราการเกิดเงินเฟ้อได้ ในกรณีนี้อาจทำให้ส่งผลต่อมูลค่าของสกุลเงินด้วย หากจำนวนของผู้ใช้สิทธิเพิ่มขึ้นหรือลดลงจะมีผลต่ออัตราการเกิดเงินเฟ้อ ดังนี้
- หากผู้ใช้สิทธิเพิ่มขึ้นอาจทำให้มีอัตราการเกิดเงินเฟ้อที่ต่ำเนื่องจากสกุลเงินอ่อนตัวลงและมีการถดถอยของตลาดแรงงาน
- หากผู้ใช้สิทธิลดลงอาจทำให้อัตราการเกิดเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากสกุลเงินแข็งตัวขึ้นและอาจเป็นสัญญาณบอกถึงความตึงเครียดของตลาดแรงงาน
4. ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้: จำนวนของผู้ใช้สิทธิมักมีอิทธิพลต่อระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในตลาดฟอเรกซ์ ซึ่งสามารถบ่งบอกความเสี่ยงได้จาก
- การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้สิทธิ ทำให้เกิดความไม่วางไว้ใจในความเสี่ยงเนื่องจากเศรษฐกิจอ่อแอทำให้นักลงทุนมองหาการลงทุนที่ปลอดภัยในสินทรัพย์ของพวกเขา
- การลดลงของจำนวนผู้ใช้สิทธิ ทำให้นักลงทุนมั่นใจที่จะลงทุนในความเสี่ยงและมีศักยภาพในการเร่งมูลค่าความเสี่ยงของสกุลเงินได้
จากทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้สรุปได้ว่า จำนวนคนว่างงานที่ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน (Claimant Count) เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญของตลาดแรงงานเนื่องจากมันแสดงให้เห็นถึงมูลค่าของสภาพตลาดแรงงานและสภาพรวมของเศรษฐกิจ โดยหากสามารถเข้าใจความหมายของข้อมูลได้ จะส่งผลให้ นักลงทุน ผู้กำหนดนโยบายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ อีกทั้งเทรดเดอร์ สามารถใช้ข้อมูลที่ดีกว่าในการตัดสินใจและตอบสนองต่อประสิทธิผลของการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในเศรษฐกิจได้ สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาจำนวนผู้ใช้สิทธิและปัจจัยอื่นๆในตลาดที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถติดตามการพัฒนาตลาดแรงงานและภาพรวมของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่องนั่นเอง