Divergence คืออะไร
Divergenceอในตลาด Forex คือ สถานการณ์ที่ราคาของสินทรัพย์และตัวชี้วัดทางเทคนิคไม่เคลื่อนที่ในทิศทางเดียวกัน และอาจเป็นสัญญาณแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในราคาสินทรัพย์ นี่เป็นหนึ่งในเทคนิคที่นักเทรดใช้ เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของราคาและตัดสินใจเกี่ยวกับการซื้อหรือขาย ในตลาด forex กัน
ประเภทของ Divergence
Regular Divergence
- Bullish Divergence: ตัวชี้วัดทางเทคนิค (เช่น RSI, MACD) สร้างต่ำล่าสุดใหม่ที่สูงขึ้น ในขณะที่ราคายังคงสร้างต่ำล่าสุดใหม่ที่ต่ำลง
- Bearish Divergence: ตัวชี้วัดทางเทคนิคสร้างสูงใหม่ที่ต่ำลง ในขณะที่ราคายังคงสร้างสูงใหม่ที่สูงขึ้น
Hidden Divergence
- Bullish Hidden Divergence: ตัวชี้วัดทางเทคนิคสร้างต่ำล่าสุดใหม่ที่ต่ำลง ในขณะที่ราคาสร้างต่ำล่าสุดใหม่ที่สูงขึ้น
- Bearish Hidden Divergence: ตัวชี้วัดทางเทคนิคสร้างสูงใหม่ที่สูงขึ้น ในขณะที่ราคาสร้างสูงใหม่ที่ต่ำ ลง
การใช้ Divergence
- การตัดสินใจซื้อหรือขาย: Divergence สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ว่าควรซื้อหรือขายในขณะนั้น
- การตั้ง Stop Loss และ Take Profit: โดยทั่วไป คุณอาจตั้งระดับ Stop Loss หรือ Take Profit ในระดับที่ Divergence เริ่มปรากฏ
ข้อควรระวัง
- Divergence ไม่เสมอที่จะเป็นสัญญาณที่แน่นอน 100% และจึงควรใช้ร่วมกับตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ หรือวิธีวิเคราะห์ทางพื้นฐาน
- การเทรดโดยพิจารณาเฉพาะ Divergence อาจเพิ่มความเสี่ยง และจึงควรจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
สร้างกำไรการเทรดด้วย Divergence
การเทรดด้วย Divergence ในตลาด Forex เป็นหนึ่งในเทคนิคที่นิยมใช้เพื่อค้นหาสัญญาณที่เรียกว่า “บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม” หรือ trend reversal พูดง่ายๆ คือ Divergence คือปรากฏการณ์ที่ราคาในตลาดและอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคไม่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความไม่เสถียรของแนวโน้มปัจจุบัน และอาจเป็นการบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคาในอนาคต
เช่น ถ้าราคาของสินทรัพย์สร้าง higher highs แต่อินดิเคเตอร์ (เช่น RSI, MACD) สร้าง lower highs นั่นแสดงว่ามี “bearish divergence” ซึ่งเป็นสัญญาณของการเสื่อมที่อาจนำไปสู่การลดลงของราคา
คุณสามารถใช้ Divergence เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจเปิดหรือปิดตำแหน่ง เพื่อหาจุดที่เหมาะสมในการเข้าหรือออกจากตลาด และนั่นเอง ก็สามารถทำให้คุณสร้างกำไรจากการเทรดได้ นอกจากนี้ การใช้ Divergence ยังสามารถควบคู่ได้กับเทคนิคการเทรดอื่นๆ หรือใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเทรดที่คุณมีอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างกำไรและลดความเสี่ยง
อย่างไรก็ดี ความสำคัญอยู่ที่การจัดการความเสี่ยง การใช้ Divergence โดยไม่มีการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมสามารถนำไปสู่ความสูญเสีย ดังนั้น คุณควรจะต้องมีแผนการจัดการความเสี่ยง และใช้ Stop loss และ Take profit ในการควบคุมการเทรดของคุณ ซึ่งถ้าคุณใช้ Divergence อย่างถูกต้องและร่วมกับการจัดการความเสี่ยงที่ดี คุณจะสามารถสร้างกำไรจากการเทรดในระยะยาวได้
การใช้ Divergence ในการเทรด Forex ไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนมาก แต่คุณจำเป็นต้องรู้จักวิธีการอ่านและตีความสัญญาณจากอินดิเคเตอร์เทคนิคและชาร์ตราคา เพื่อให้การเทรดของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขั้นแรกคือการเลือกอินดิเคเตอร์ที่คุณจะใช้ในการหา Divergence ซึ่งอินดิเคเตอร์ที่ถูกใช้บ่อยคือ RSI, MACD, และ Stochastic Oscillator
- เริ่มต้นด้วยการมองหาชาร์ตราคาของคู่เงินที่คุณสนใจ ลองดูว่ามีแนวโน้มขึ้นหรือลงอย่างชัดเจนหรือไม่
- ปรับ timeframe ที่ต้องการเทรด หากเป็นการเทรดระยะสั้น คุณอาจจะใช้ชาร์ต 15 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ถ้าเป็นการเทรดระยะยาว คุณอาจจะใช้ชาร์ตรายวัน
- นำอินดิเคเตอร์ที่คุณเลือกมาวางบนชาร์ต และจากนั้นสังเกตุราคาและอินดิเคเตอร์ว่ามีการเคลื่อนไหวที่ไม่สอดคล้องกันหรือไม่
- หากพบ Divergence ในชาร์ต คุณอาจจะต้องตัดสินใจที่จะเปิดหรือปิดตำแหน่ง ถ้าเป็น bearish divergence คุณอาจจะอยากจะขายหรือทำการ short แต่ถ้าเป็น bullish divergence คุณอาจจะอยากจะซื้อหรือทำการ long
- ตั้งค่า Stop loss และ Take profit ตามกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงของคุณ ต้องมีระยะห่างที่เหมาะสมในการวาง Stop loss และ Take profit อย่าวางใกล้เกินไปจนทำให้โดน Stop out ง่ายๆ
- ติดตามและปรับปรุงการเทรดของคุณ หากสัญญาณ Divergence ถูกยืนยัน หรือหากมีสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงในข้อมูลหรือสภาพตลาด
ในการใช้ Divergence เป็นเทคนิคในการเทรด คุณจะพบว่าเมื่อควบคู่ไปกับวิธีการจัดการความเสี่ยงและเทคนิคการเทรดอื่น ๆ คุณจะสามารถสร้างกำไรอย่างยั่งยืนจากตลาด Forex ได้ อย่างไรก็ตาม คุณควรจะต้องใช้ Divergence เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการเทรดของคุณ เนื่องจากไม่มีเทคนิคใด ๆ ที่จะมีประสิทธิภาพ 100%
ภาพปะกอบ สัญญาณ Divergence ในจุดที่สร้างกำไรได้ดี
กฎการใช้ Divergence ในสร้างกำไรการเทรด
การใช้ Divergence ในการสร้างกำไรจากการเทรด Forex หรือตลาดทั้งหลายเป็นหนึ่งในเทคนิคที่มีประสิทธิภาพ แต่ทั้งนี้ยังต้องขึ้นอยู่กับวิธีการประยุกต์ใช้และกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่คุณมีอยู่ ในที่นี้ขอแนะนำ “กฎ” หรือหลักการพื้นฐานในการใช้ Divergence ในการเทรดที่คุณควรคำนึงถึง
- เลือกอินดิเคเตอร์ที่เหมาะสม: เช่น ใช้ RSI, MACD หรือ Stochastic Oscillator ในการสร้างสัญญาณ Divergence ควรเป็นอินดิเคเตอร์ที่คุณสะดวกและเข้าใจวิธีการใช้งาน
- การเปรียบเทียบ Divergence ในหลายๆ เฟรมไทม์สามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ และเสริมความมั่นใจในการตัดสินใจ
- หลีกเลี่ยงการเทรดในตลาดที่ไม่มีเสถียรภาพเนื่องจาก Divergence ทำงานได้ดีที่สุดในตลาดที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน ไม่แนะนำในการใช้ในตลาดข้างๆ หรือตลาดที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน
- การใช้ Divergence ร่วมกับอินดิเคเตอร์หรือเทคนิคการเทรดอื่น ๆ จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไร
- ตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit อย่าลืมตั้งค่านี้ ๆ และให้คำนึงถึงการจัดการความเสี่ยง ควรใช้ระดับ Stop Loss ที่ไม่เกิน 1-2% ของเงินทุน
- ก่อนนำไปใช้กับเงินจริง และควรลองใช้ใน Demo Account ก่อน เพื่อปรับปรุงและเรียนรู้ถึงเทคนิค
- หลายคนอาจจะดำเนินการซื้อหรือขายทันทีเมื่อเห็น Divergence แต่ต้องรอดูให้แน่ใจว่ามีสัญญาณอื่น ๆ ที่สอดคล้องเช่นเดียวกัน
- หลังจากเปิดหรือปิดตำแหน่งแล้ว ควรทำการวิเคราะห์ว่าสัญญาณที่ได้จาก Divergence นั้นถูกต้องหรือไม่ และทำการปรับปรุงกลยุทธ์ให้ดีขึ้น
- หากเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดี อย่าลืมว่าการเทรดยังคงมีความเสี่ยงอยู่ เคร่งครัดในการจัดการความเสี่ยงและอย่าเพิ่ม Lot size หรือ Leverage อย่างไม่ระมัดระวัง
- ตลาดและเครื่องมือการเทรดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง คุณจำเป็นต้องอัพเดทความรู้และปรับปรุงกลยุทธ์เสมอ
ตรวจสอบให้แน่ชัดว่า เทรดเดอร์อยู่ในการเทรดแบบ divergence หรือไม่
การตรวจสอบว่าเราอยู่ในกระบวนการเทรดแบบ Divergence สามารถทำได้โดยดูที่กราฟราคาก่อนเลยจำเป็นต้องคอยสังเกตุถึงสัญญาณเหล่านี้ในกราฟราคาก่อนการทำกำไรในจุดใหญ่ๆ
- Higher High: คือ ราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับ “High” ก่อนหน้านั้น ในกราฟราคา
- Lower Low: คือ ราคาต่ำลงเมื่อเทียบกับ “Low” ก่อนหน้านั้นในกราฟราคา
- Double Top: รูปแบบกราฟที่มีลักษณะเหมือน “M” แสดงถึงการที่ราคาทดลองขึ้นไปที่จุดสูงแล้วถอยลง 2 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จในการทะลุ
- Double Bottom: รูปแบบกราฟที่มีลักษณะเหมือน “W” แสดงถึงการที่ราคาทดลองลงไปที่จุดต่ำแล้วขึ้นมา 2 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จในการทะลุ
หลังจากที่สังเกตเห็นรูปแบบกราฟเหล่านี้ในราคา จึงควรตรวจสอบ Indicator ที่ใช้ร่วมด้วย เพราะถ้าไม่สังเกตเห็นรูปแบบใด ๆ จากที่กล่าวมาข้างต้น แสดงว่าในขณะนั้นคุณไม่ได้อยู่ในกระบวนการเทรดแบบ Divergence และคุณควรระวังในการใช้ Indicator ด้วย ในกรณีนี้ เพราะการที่ Indicator แสดง Divergence หากไม่มีรูปแบบราคาที่สอดคล้อง ก็อาจเป็นการเทรดที่ไม่ค่อยเป็นระบบและมีความเสี่ยงสูง
ประโยชน์การสร้างกำไรด้วย Divergence
- Divergence มักเป็นสัญญาณที่แรงของการเปลี่ยนแนวโน้มของราคา ทั้งในรูปแบบของ Bullish Divergence และ Bearish Divergence ซึ่งจะช่วยให้นักเทรดมีโอกาสจับจ่ายแนวโน้มใหม่ได้เร็ว
- การใช้ Divergence เป็นเหมือนมีเครื่องมือในการตรวจสอบความถูกต้องของสัญญาณ จึงเสริมให้มั่นใจและลดความเสี่ยงจากการเทรดในแนวโน้มที่เป็นไปไม่ได้
- ในการวิเคราะห์ นักเทรดสามารถตั้งค่า Stop-Loss และ Take-Profit ได้เหมาะสมและรอบคอบยิ่งขึ้น
- หากคุณสามารถระบุ Divergence ได้เชื่อถือและรวดเร็ว โอกาสในการทำกำไรจะเพิ่มขึ้นอย่างมั่นใจ
- Divergence สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ ได้ ทำให้กลยุทธ์การเทรดของคุณเป็นไปอย่างครบถ้วนและหลากหลายยิ่งขึ้น
- Divergence สามารถใช้ได้ในหลาย Timeframe ตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ เช่น M1, M5, H1, H4, D1 ฯลฯ ซึ่งเพิ่มความหลากหลายในการเทรด
ข้อเสียของการสร้างกำไรด้วย Divergence
- Divergence ไม่ใช่สัญญาณที่มีความแน่นอน 100% บางครั้งอาจเกิดสัญญาณปลอมที่ทำให้คุณเข้าเทรดในขณะที่ตลาดยังไม่ได้เปลี่ยนแนวโน้ม
- Divergence มักเป็นสัญญาณที่เกิดขึ้นในภายหลัง ซึ่งอาจทำให้คุณเข้าเทรดสายเกินไปและล่าช้าในการหยุด kerugian หรือทำกำไร
- การค้นหาและตีความ Divergence อาจจะซับซ้อน และต้องใช้การวิเคราะห์ที่ละเอียดอ่อน
- การเทรดแบบ Divergence มักจะต้องใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อยืนยันสัญญาณ ซึ่งอาจจะทำให้การเทรดซับซ้อนขึ้น
- หากคุณใช้ Leverage สูงในการเทรดด้วย Divergence ความเสี่ยงของการเสียเงินจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถ้าตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางที่คุณไม่ได้คาดการณ์
- ความถูกต้องและคุณภาพของข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ Divergence มีผลต่อความถูกต้องของสัญญาณ
- หาก Divergence ที่คุณคาดการณ์ไม่สำเร็จ อาจทำให้คุณขาดความมั่นใจในการเทรด ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเทรดที่ประสบความสำเร็จ