ทฤษฎี-Dow-Theory

ทฤษฎี Dow Theory คืออะไร

Dow Theory คือ ทฤษฎีในด้านการลงทุนและการเงินที่ถูกสร้างขึ้นโดย Charles Dow ผู้ร่วมก่อตั้ง The Wall Street Journal และ Dow Jones & Company. ทฤษฎีนี้เป็นหนึ่งในกรอบคิดพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์เทคนิคของตลาดหุ้นและตลาดที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ และอยู่เบื้องหลังของการสร้างดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones (Dow Jones Industrial Average) และดัชนีการขนส่ง Dow Jones (Dow Jones Transportation Average)

แนวโน้มหลักของทฤษฎี Dow Theory ได้แก่

  1. Primary Trend: แนวโน้มหลักของตลาด ซึ่งอาจจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (bull market) หรือแนวโน้มขาลง (bear market)
  2. Secondary Trend: ขั้นตอนหรือการย้อนแนวโน้มสั้น ๆ ที่เป็นความเคลื่อนไหวที่ขัดข้องแนวโน้มหลัก
  3. Minor Trend: คือการเคลื่อนไหวในระยะเวลาสั้นที่น้อยกว่า secondary trend

นักวิเคราะห์โดยทั่วไปจะดูที่ดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones และดัชนีการขนส่ง Dow Jones ถ้าทั้งสองดัชนียืนยันแนวโน้มร่วมกัน ถือเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งของแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรืออาจจะเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มนั้นเอง

ทฤษฎีนี้ยังเป็นหนึ่งในพื้นฐานของการวิเคราะห์เทคนิคและยังถูกใช้ในปัจจุบัน สามารถใช้ได้ไม่เพียงแต่ในตลาดหุ้นแต่ยังในตลาดอื่น ๆ ที่มีข้อมูลราคาสาธารณะ ทั้งนี้ Dow Theory ยังเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการช่วยเหลือนักลงทุนในการตัดสินใจว่าควรซื้อ, ขาย หรือถือหุ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม

ประวัติความเป็นมา ทฤษฎีดาว Dow Theory

ทฤษฎีดาวหรือ “Dow Theory” ถูกพัฒนาขึ้นโดย Charles H. Dow ที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Wall Street Journal และเป็นผู้สร้าง Dow Jones Industrial Average หรือ DJIA ทฤษฎีนี้เกิดขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 แม้ว่า Charles H. Dow ไม่เคยเขียนทฤษฎีนี้ลงในรูปแบบที่เป็นระบบ แต่การคิดของเขาถูกสะสมและสรุปโดยผู้ติดตามที่ศึกษาการเขียนของเขา

ทฤษฎีนี้เป็นหนึ่งในพื้นฐานของการวิเคราะห์เทคนิค ซึ่งเป็นวิธีการวิเคราะห์ที่ใช้ในการศึกษาความเคลื่อนไหวของราคาในตลาด ทฤษฎีดาวมีหลักการพื้นฐานหลายประการ รวมถึง

  1. ราคาที่เกิดขึ้น คือสิ่งที่สะท้อนทุกอย่างในตลาดไว้หมดแล้ว: แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของ Dow ที่ราคาสินทรัพย์จะสะท้อนต่อทุกปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา
  2. ราคาเคลื่อนไหวอย่างเป็นแนวโน้ม: ทฤษฎีนี้ย้ำถึงความสำคัญของการวิเคราะห์แนวโน้มในการเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคา
  3. แต่ละแนวโน้มมีช่วงสำคัญอยู่ 3 ช่วง: ที่เป็นช่วงสะสม ช่วงที่ราคาพุ่งขึ้น และช่วงหุ้นเลิกเล่น

หลักการ-Dow-Theory

หลักการวิเคราะห์และนำทฤษฎี Dow Theory ไปใช้

  1. ราคาที่เกิดขึ้น คือสิ่งที่สะท้อนทุกอย่างในตลาดไว้หมดแล้ว ทฤษฎีนี้ได้ย้ำถึงความสำคัญของราคาในการสะท้อนข้อมูลทั้งหมดที่คนในตลาดรู้ถึง ซึ่งรวมถึงข่าว อารมณ์ และปัจจัยทางเศรษฐกิจ
  2. ราคาเคลื่อนไหวอย่างเป็นแนวโน้ม: ทฤษฎีนี้แบ่งแนวโน้มออกเป็น 3 ประเภท: หลัก, รอง, และย่อย ทั้งนี้เพื่อให้เข้าใจความเคลื่อนไหวของราคาในระดับต่าง ๆ และเป็นสิ่งที่นักลงทุนสามารถนำไปใช้ปรับแผนการลงทุนของตนเอง
  3. แต่ละแนวโน้ม มีช่วงสำคัญอยู่ 3 ช่วง: การทำความเข้าใจในช่วงที่เกิดในแต่ละแนวโน้มเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะในการคาดการณ์และการตัดสินใจลงทุน ช่วงสะสมเป็นช่วงที่นักลงทุนซื้อหรือขาย ช่วงที่ราคาพุ่งขึ้นเป็นช่วงที่ตลาดเริ่มติดตามแนวโน้ม และช่วงหุ้นเลิกเล่นหรือช่วงแจกของคือช่วงที่นักลงทุนขายสินทรัพย์
  4. ค่าเฉลี่ยของตลาดทั้งหมดต้องสอดคล้องกัน: ในความเป็นจริง เมื่อแนวโน้มในตลาดเกิดขึ้น สัญญาณต่าง ๆ จากดัชนีหลัก ๆ หรือเครื่องมือการวิเคราะห์อื่น ๆ ควรแสดงให้เห็นในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ ถ้าส่วนหนึ่งของตลาดมีแนวโน้มขาขึ้น ส่วนอื่น ๆ ของตลาดก็ควรจะมีแนวโน้มเดียวกัน
  5. ปริมาณวอลุ่มการซื้อขายต้องสัมพันธ์กันแนวโน้ม: ถ้าราคาในแนวโน้มขาขึ้น เช่นเดียวกับปริมาณการซื้อขาย นี่ถือเป็นสัญญาณที่ดีของแนวโน้มที่ยั่งยืน แต่ถ้าปริมาณการซื้อขายลดลงในขณะที่ราคายังคงขึ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณของแนวโน้มที่อาจจะพลิกกลับ
  6. แนวโน้มจะไปต่อเรื่อย ๆ จนกว่ามีสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน: คุณควรคอยสังเกตุสัญญาณหรือรูปแบบที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม ไม่ว่าจะเป็นการตัดเส้น MA (Moving Average) หรือเกิด Divergence ในตัวชี้วัดทางเทคนิค เพื่อระบุว่าแนวโน้มที่กำลังดำเนินอยู่อาจจะสิ้นสุดลง

หลักการ 6 ข้อของทฤษฎี Dow Theory

ข้อที่ 1 ตลาดมีการเคลื่อนไหว 3 รูปแบบ

  • แนวโน้มใหญ่ (Primary Trend)
  • แนวโน้มกลาง (Secondary Trend)
  • แนวโน้มสั้น (Minor Trend)

ข้อที่ 2 แนวโน้มตลาดมีสามระยะ

  • การสะสมหุ้น (Accumulation)
  • การไล่เก็บหุ้นของนักลงทุนในตลาด (Public Participation)
  • การปล่อยของหรือกระจายตัว (Distribution)

ข้อที่ 3 ราคาหุ้นเป็นผลลัพธ์ของทุกปัจจัยที่มีผลต่อตลาด

  • สิ่งนี้หมายถึงปัจจัยทั้งหมดที่มีผลต่อราคาหุ้น รวมถึงข้อมูลและข่าวสารที่ปล่อยออกมา

ข้อที่ 4 ราคาหุ้นตอบสนองอย่างรวดเร็วกับข่าว

  • เมื่อมีข่าวหรือข้อมูลใหม่ ราคาหุ้นจะปรับตัวอย่างรวดเร็วในการตอบสนอง

ข้อที่ 5 แนวโน้มตลาดหุ้นจะถูกยืนยันด้วยตลาดอื่น

  • เมื่อตลาดหุ้นขึ้น ตลาดที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จะต้องยืนยันการเคลื่อนไหวนั้น

ข้อที่ 6 แนวโน้มตลาดหุ้นจะถูกยืนยันด้วยปริมาณซื้อขาย

  • ปริมาณซื้อขายเป็นตัวยืนยันของแนวโน้ม

รูปแบบการเคลื่อนไหวของตลาด 3 รูปแบบ

รูปแบบที่ 1 แนวโน้มใหญ่ (Primary Trend)

  • มีระยะเวลาจากไม่ถึงปีถึงหลายปี
  • สามารถเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Bullish) หรือแนวโน้มขาลง (Bearish)

รูปแบบที่ 2 แนวโน้มกลาง (Secondary Trend)

  • ระยะเวลาจาก 10 วันถึง 3 เดือน
  • อาจทำให้ราคาขึ้นหรือลงจากแนวโน้มหลักได้ระหว่าง 33-66%

รูปแบบที่ 3 แนวโน้มสั้น (Minor Trend)

  • ระยะเวลาตั้งแต่หลักชั่วโมงถึงหลายวัน

ทฤษฎี Dow Theory สามารถประยุกต์ใช้กับ Indicators ใดได้บ้าง

ทฤษฎี Dow Theory ที่เป็นหลักการพื้นฐานในการวิเคราะห์เทคนิคสามารถประยุกต์ใช้ร่วมกับหลายๆ อินดิเคเตอร์ ดังนี้

  1. Moving Averages (SMA และ EMA): การใช้ค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นอินดิเคเตอร์ที่ช่วยในการระบุแนวโน้มของราคาสินทรัพย์ ซึ่งเป็นหลักสำคัญของทฤษฎีดาว การเคลื่อนไหวของค่าเฉลี่ยที่ถูกต้องสามารถใช้ในการสร้างสัญญาณซื้อหรือขาย
  2. Trendlines: เส้นแนวโน้มที่เชื่อมระหว่างราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดของตลาดเป็นเครื่องมือที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้ม หรือแม้แต่ในการยืนยันแนวโน้ม ตรงกับหลักการของทฤษฎีดาวที่ระบุว่าราคาจะเคลื่อนไหวอย่างเป็นแนวโน้ม
  3. Price and Volume Indicators (OBV และ CMF หรือเครื่องมือที่วัดราคาและปริมาณ): หลักการนี้สอดคล้องกับหนึ่งในหลักการพื้นฐานของทฤษฎีดาว คือปริมาณการซื้อขายต้องสัมพันธ์กับแนวโน้ม อินดิเคเตอร์นี้ช่วยในการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายและความสัมพันธ์ของมันกับราคา ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต

ดังนั้น เครื่องมือและอินดิเคเตอร์เหล่านี้สามารถใช้ประยุกต์ใช้ร่วมกับทฤษฎีดาวในการวิเคราะห์เทคนิค รวมถึงการทำนายแนวโน้ม และการสร้างสัญญาณซื้อหรือขาย ทั้งนี้เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาดให้มากขึ้น

ทฤษฎี Dow Theory ใช้ในการเทรดอย่างไร

ทฤษฎี Dow Theory ถือเป็นหนึ่งในหลักการพื้นฐานของการวิเคราะห์เทคนิคและมีหลักการสำคัญในการเทรด ดังนี้

  • การระบุแนวโน้ม (Trend Identification): ทฤษฎีนี้ช่วยในการระบุแนวโน้มหลักของตลาดว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Bullish) หรือแนวโน้มขาลง (Bearish) โดยดูจากการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาต่างๆ
  • การยืนยันแนวโน้ม (Trend Confirmation): ควรใช้ข้อมูลจากหลายตลาดหรือหลายรูปแบบการวิเคราะห์เพื่อยืนยันแนวโน้ม
  • ปริมาณการซื้อขาย (Volume): ทฤษฎีนี้ให้ความสำคัญกับปริมาณการซื้อขาย ซึ่งควรเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มของราคา เพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นแข็งแรงและยั่งยืน
  • การสัญญาณซื้อหรือขาย (Buy or Sell Signals): ผ่านการวิเคราะห์เหล่านี้ นักเทรดสามารถสร้างสัญญาณซื้อหรือขายขึ้นได้ เช่น หากมีการยืนยันแนวโน้มขาขึ้น นักเทรดอาจจะเริ่มซื้อ แต่ถ้ามีการยืนยันแนวโน้มขาลง ก็อาจจะขายหรือเข้ารั้ง (Short)
  • การใช้ Stop-loss: ทฤษฎีนี้ไม่ได้เน้นแค่การวิเคราะห์แนวโน้ม แต่ยังเน้นถึงการจัดการความเสี่ยงด้วย การตั้ง Stop-loss ที่เหมาะสมจึงเป็นส่วนหนึ่งของการเทรดที่ปลอดภัย

สรุป Dow Theory

  1. ที่มาและประวัติ: ทฤษฎีดาวมาจากบทความในหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ซึ่งเขียนโดยชาลส์ เอช. ดาว (1851-1902) ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ดังกล่าวและดาวโจนส์แอนด์คอมแพนี.
  2. ผู้ร่วมพัฒนา: หลังจากเสียชีวิตของดาว, นักเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยอื่น ๆ อย่างวิลเลียม ปีเตอร์ แฮมิลตัน, รอเบิร์ต เรอา, และ อี. จอร์จ แชเฟอร์ ได้รวบรวมและขยายความทฤษฎีดาว
  3. ระบบการขาย: หนึ่งในข้อสังเกตคือตัวดาวเองไม่เคยใช้คำว่า “ทฤษฎีดาว” เพื่อเสนอระบบการขายหุ้น
  4. การวิเคราะห์ตามวงจรเศรษฐกิจ: ทฤษฎีนี้ให้ความสำคัญในการวิเคราะห์กลุ่มหุ้นตามวงจรเศรษฐกิจ (sector rotation)
  5. ประเภทของแนวโน้มตลาด:
    • แนวโน้มโหญ่: ระยะเวลาไม่ถึงปีถึงหลายปี
    • แนวโน้มกลาง: ระยะเวลา 10 วันถึง 3 เดือน
    • แนวโน้มสั้น: ระยะเวลาหลักชั่วโมงถึงหลายวัน
  6. แนวโน้มและปริมาณการซื้อขาย: ทฤษฎีดาวให้ความสำคัญที่ปริมาณการซื้อขายเป็นตัวยืนยันแนวโน้มตลาด
  7. ราคาหุ้นและข้อมูลตลาด: ราคาหุ้นเป็นผลลัพธ์ของทุกปัจจัยที่มีผลต่อตลาด และจะตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อข่าวหรือข้อมูลใหม่
  8. ยืนยันด้วยตัวเลขเศรษฐกิจ: ตลาดหุ้นจะดีหรือไม่ต้องอาศัยตัวเลขเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อยืนยัน
  9. แนวโน้มยังคงอยู่จนกว่า: แนวโน้มของตลาดจะไม่เปลี่ยนแปลงจนกว่าปัจจัยหนุนจะสิ้นสุด