บทนำวิธีการใช้งาน Envelopes
การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหัวใจสำคัญของการซื้อขายที่มีความสำเร็จ และตัวชี้วัดการซื้อขายที่หลากหลายนั้นจะช่วยส่งเสริมให้มุมมองในการซื้อขายสินค้ามีความหลากหลายยิ่งขึ้น หนึ่งในเครื่องมือ หรือที่นิยมกันมากอีกตังคือ Indicator Envelope ที่ทรงพลังและขาดไม่ได้สำหรับนักเทรดทั่วโลก คือ ตัวชี้วัด Envelope
บทความนี้จะขอนำเสนอความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับตัวชี้วัด Envelope การใช้งานในแพลตฟอร์ม MetaTrader 4 (MT4) และวิธีที่สามารถช่วยในการปรับปรุงผลประโยชน์ในการซื้อขายที่สร้างกำไรขึ้นได้
Indicator Envelope คือ อะไร?
Indicator Envelope บางครั้งเรียกว่า ซองการซื้อขายหรือซองราคา คือ เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ครอบคลุมเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้นที่พล็อตเป็นเปอร์เซ็นต์คงที่ห่างจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่กลาง เป้าหมายหลักของ Envelope คือ การให้ระดับขอบเขตราคาแก่เทรดเดอร์ ช่วยในการระบุภาวะตลาดที่มีการซื้อมากเกินไปและการขายมากเกินไป และจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น
ตัวชี้วัด Envelope หรือ Envelope Indicator เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้วัดความผันผวนของราคาในตลาด โดยทั่วไปแล้วจะแสดงเป็นสองเส้นที่ล้อมรอบ Moving Average (ค่าเฉลี่ยที่เคลื่อนไหว) ที่เป็นเส้นกลาง
แนวคิดหลักของตัวชี้วัด Envelope คือ ราคามักจะกลับมาที่เส้นเฉลี่ยที่เคลื่อนไหว (Moving Average) ซึ่งถือว่าเป็น “ปกติ” หรือ “สมดุล” ตามกระแสราคา เมื่อราคาขยับไปรอบรอบภายในภาพรวม (นั่นคือ อยู่ภายใน Envelope) และเมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาใกล้กับเส้นขอบ Envelope นักลงทุนอาจจะคาดการณ์ว่าราคาจะกลับไปที่เส้นเฉลี่ยที่เคลื่อนไหว
การใช้งาน Envelope Indicator อาจมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป แต่ทั่วไปแล้วจะมีการใช้งานเพื่อระบุช่วงอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา (Overbought และ Oversold levels) หรือในการสร้างสัญญาณซื้อขายตามแนวโน้ม (Trend following signals)
ประเภท Envelope indicator
Envelope indicator มีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะเน้นไปที่คุณสมบัติเฉพาะของข้อมูลทางการเงิน ที่ใช้ในการคำนวณ เช่น
- Simple Moving Average (SMA) Envelope: ประเภทนี้จะใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนไหวง่ายๆ (SMA) เป็นฐานในการคำนวณ ซึ่งจะสร้าง “envelope” บนและล่างของ SMA ที่คำนวณจากเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดไว้ของราคา
- Exponential Moving Average (EMA) Envelope: ประเภทนี้ทำงานเหมือนกับ SMA Envelope แต่ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนไหวแบบเร่งรัด (EMA) ที่ให้น้ำหนักมากขึ้นกับข้อมูลล่าสุด
- Percentage Price Oscillator (PPO) Envelope: PPO เป็นทั้งindicatorและเครื่องมือสำหรับสร้าง envelope ซึ่งเป็นการวัดเปอร์เซ็นต์ที่ราคาเปลี่ยนแปลงระหว่างสอง EMA ที่แตกต่างกัน
- Bollinger Bands: ถึงแม้จะไม่ถูกเรียกว่า “envelope” อย่างเป็นทางการแต่ Bollinger Bands ทำงานได้คล้ายกับ envelope โดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนไหวและการแปรผันมาตรฐานเพื่อสร้างแถบบนและล่าง
ทั้ง 4 ประเภทของ envelope นี้ มีจุดประสงค์ เพื่อช่วยนักลงทุนวัดระดับของ “overbought” และ “oversold” ด้วยการสร้างแถบหรือ “envelope” รอบ ๆ ราคาหลักทรัพย์ ซึ่งสามารถช่วยในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต
Envelope indicator ที่นิยมมากที่สุดในการใช้งาน
ประเภทที่ 1 Fixed Envelope
Fixed Envelope คือ แบบหนึ่งของ Envelope indicator ที่จะตั้งค่าความกว้างของ Envelope หรือช่วงราคาที่มีความผันผวนอยู่ในระดับคงที่ โดยไม่สนใจว่าความผันผวนของราคาจะเปลี่ยนแปลง หมายความว่า ถ้าราคาของสินค้าหรือหลักทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง แล้วเส้น Envelope ที่ถูกตั้งค่าให้คงที่จะไม่มีการปรับตัวเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้ Fixed Envelope มักจะมีประโยชน์มากที่สุดเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนที่คงที่หรือเคร่งครัดน้อย ในกรณีที่ตลาดมีความผันผวนสูง เครื่องมือนี้อาจไม่สามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของราคาได้ทันท่วงที ทำให้ความสามารถในการทำนายทิศทางของราคาหรือตรวจจับสภาพการซื้อเกินหรือขายเกิน (overbought/oversold conditions) มีความแม่นยำลดลง
- ดังนั้น ถ้าราคาสินค้าใดสินค้าหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง เส้น Envelope ก็จะไม่มีการปรับตัวตามไป ดังนั้น จึงสามารถใช้ได้เฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนคงที่
ประเภทที่ 2 Adaptive Envelope
Adaptive Envelope เป็นประเภทอื่นของ Envelope indicator ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ในส่วนของความกว้างของ envelope ที่สามารถปรับตัวตามความผันผวนของราคา
ในกรณีที่ความผันผวนของราคามีการเปลี่ยนแปลง ความกว้างของ envelope จะปรับตัวเพื่อตรงกับราคาใหม่ ๆ ซึ่งทำให้ประเภทนี้ของ envelope สามารถทำงานได้ดีในตลาดที่มีความผันผวนสูง
- หากความผันผวนของราคามีการเปลี่ยนแปลง ความกว้างของ Envelope ก็จะปรับตัวให้เข้ากับราคาใหม่ ๆ นั้น ซึ่งสามารถทำงานได้ดีในตลาดที่มีความผันผวนสูง
สิ่งที่สำคัญ คือ การเลือกใช้ตัวชี้วัด Envelope ที่เหมาะสมสำหรับสภาวะตลาดและกลยุทธ์การซื้อขายของคุณ และสิ่งที่มักจำเป็นต้องทำคือการทดลองด้วยตัวเองและปรับแต่งตัวชี้วัดให้เหมาะสมกับเทรดของคุณเอง
สูตรและการคำนวณ
Envelope ค่อนข้างตรงไปตรงมาในการคำนวณ ประกอบด้วยเส้นสามเส้น: เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่กลางและเส้นรอบนอกสองเส้น (Envelope) คำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ที่แน่นอนห่างจากเส้นกลาง คือ สูตรพื้นฐาน
- Upper band : ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ + (เปอร์เซ็นต์ที่ต้องการ x ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่)
- Lower Band: ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ – (เปอร์เซ็นต์ที่ต้องการ x ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่)
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่กลางสามารถเป็นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดา เลขชี้กำลัง หรือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ประเภทอื่นๆ ขึ้นอยู่กับความต้องการของเทรดเดอร์ เปอร์เซ็นต์ที่ต้องการอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกลยุทธ์ของเทรดเดอร์และความผันผวนของตลาด
วิธีการใช้งาน Indicator Envelope ใน MT4
การเพิ่ม Envelope Indicator ในแผนภูมิ MetaTrader 4 (MT4) ค่อนข้างง่ายและสามารถทำได้ดังต่อไปนี้:
- เปิดโปรแกรม MetaTrader 4
- เลือกแผนภูมิที่คุณต้องการวิเคราะห์
- คลิกที่เมนู “Insert” ที่อยู่บนเมนูเครื่องมือที่อยู่ด้านบนของหน้าจอ
- จากนั้น เลือก “Indicators” จากเมนูที่แสดงในแถบย่อย
- เลื่อนเมาส์ลงมาและคลิกที่ “Trend” ในเมนูที่เลื่อนลงมา
- จากนั้น คลิกที่ “Envelopes” ในรายการที่แสดง
- หลังจากนั้น จะปรากฎหน้าต่าง “Parameters” ที่คุณสามารถตั้งค่าตามที่คุณต้องการ
- สามารถปรับแต่งความเร็วและความละเอียดของ Envelope ตามที่คุณต้องการ
- หลังจากตั้งค่าเสร็จ คลิก “OK” เพื่อปิดหน้าต่างการตั้งค่า และเพิ่ม Envelope ลงในแผนภูมิของคุณ
วิธีตั้งค่าindicator Envelopes
การตั้งค่าเริ่มต้นของindicator Envelopes คือ:
- Period – 14
- Shift – 0
- Deviation – 0
- Method – simple
- Apply to – close
ข้อดีของ Indicator Envelope
ข้อดี
- สามารถปรับความกว้างของ envelope ได้ตามความต้องการ ทำให้สามารถทำงานได้ทั้งในตลาดที่มีความผันผวนต่ำและสูง
- ระบุภาวะ Overbought และ Oversold ได้ เพราะจากความกว้างของ envelope ที่ถูกสร้างขึ้น คุณสามารถระบุภาวะที่ราคาหลักทรัพย์ถูกซื้อเกินหรือขายเกิน ทำให้สามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคา
- Envelope indicator สามารถช่วยคุณทำนายแนวโน้มของราคาหลักทรัพย์ ช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจในการซื้อหรือขายได้ตรงจุด
- สร้างสัญญาณการซื้อขาย เพราะการที่ราคาหลักทรัพย์ตามกราฟซื้อขายสามารถตัดสินใจในการซื้อหรือขายเมื่อราคาถึงบริเวณแถบบนหรือแถบล่างของ envelope
- สามารถช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มราคาหลักทรัพย์ในระยะยาว เช่น ราคาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หรือลดลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้คุณสามารถวางแผนการซื้อขายในระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น
ข้อเสีย
- มีสัญญาณปลอม (False Signals) เนื่องจาก Envelope indicator สามารถสร้างสัญญาณซื้อหรือขายที่ไม่ถูกต้องได้ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง การที่ราคาหลักทรัพย์ขยับออกนอก envelope ไม่ได้หมายความว่ามันจะกลับมาใน envelope อีกครั้ง
- ไม่เหมาะสมสำหรับตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม เพราะ Envelope indicator มักจะไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพในตลาดที่ไม่มีแนวโน้มราคาที่ชัดเจน (sideways market) เนื่องจากราคาจะขยับไปมาระหว่างแถบบนและแถบล่างของ envelope แบบสุ่ม
- การที่คุณต้องปรับแต่ง envelope ให้เหมาะสมกับความผันผวนและแนวโน้มของตลาดสามารถทำให้ยากหรือซับซ้อน
- Envelope indicator มักจะล่าช้าในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ สามารถทำให้คุณพลาดโอกาสในการทำกำไร
- การใช้ envelope indicator อย่างมีประสิทธิภาพต้องใช้ความเข้าใจและประสบการณ์ในการแปลผลของสัญญาณที่ได้ การตีความหรือการแปลผลที่ผิดพลาดสามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง
วิธีซื้อและขายโดยใช้Envelope
วิธีหลักในการใช้indicatorEnvelopeสำหรับการตัดสินใจซื้อและขายคือการระบุเงื่อนไขการซื้อมากเกินไปและการขายมากเกินไปและจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น
สัญญาณซื้อ
- สัญญาณนี้สร้างขึ้นเมื่อราคาตกลงต่ำกว่ากรอบล่าง ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะขายเกินที่อาจเกิดขึ้น ผู้ค้าสามารถพิจารณาซื้อ ณ จุดนี้ โดยคาดว่าราคาจะกลับไปสู่ค่าเฉลี่ย
สัญญาณขาย
- สัญญาณนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อราคาสูงขึ้นเหนือกรอบด้านบน ซึ่งบ่งชี้ถึงสภาวะการซื้อเกินที่อาจเกิดขึ้น ผู้ค้าสามารถพิจารณาขาย ณ จุดนี้โดยคาดว่าราคาจะกลับไปสู่ค่าเฉลี่ย
การใช้ Envelope กับ indicator อื่นๆ
การใช้ Envelope ร่วมกับ indicator อื่น ๆ หมายถึง indicator ทางเทคนิคหลาย ๆ ตัวร่วมกันในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของตลาดหลักทรัพย์ หรือตลาดอื่น ๆ โดยจุดประสงค์ คือ การสร้างภาพรวมที่ครอบคลุมและเชื่อถือได้ขึ้น ทำให้การทำนายการเคลื่อนไหวของตลาดมีความแม่นยำมากขึ้น และเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจการซื้อขายเพิ่มขึ้น ที่นิยมมากที่สุดมี ดังต่อไปนี้
1. Envelopes และ Moving Average Convergence Divergence (MACD)
การใช้ Envelopes ร่วมกับ Moving Average Convergence Divergence (MACD) ให้คุณสามารถรวบรวมสัญญาณจากทั้งสองตัวชี้วัดเพื่อสร้างมุมมองที่สมบูรณ์แบบขึ้นต่อแนวโน้มของตลาด และเป็นมิติการเคลื่อนไหวของราคาที่คุณอาจไม่สามารถดูได้จากตัวชี้วัดเดียว
MACD เป็นตัวชี้วัดที่วัดความสัมพันธ์ระหว่างสองค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แตกต่างกัน เมื่อเส้น MACD (เส้นเร็ว) ตัดเหนือเส้นสัญญาณ MACD (เส้นช้า) นั่นเป็นสัญญาณของแนวโน้มที่ขาขึ้น แต่ถ้าเส้น MACD ตัดลงมาเติมเส้นสัญญาณ MACD นั่นเป็นสัญญาณแนวโน้มที่ขาลง
Envelopes ประกอบด้วยสายเคลื่อนไหว (เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่) และสองเส้นขอบที่สร้างออกจากสายเคลื่อนไหวที่มีการเพิ่มหรือลดความกว้างในการเคลื่อนไหวของราคา ถ้าราคาหุ้นหรือสินค้าใดสินค้าหนึ่งมากกว่าสายเคลื่อนไหวด้านบนของ Envelopes นั่นอาจเป็นสัญญาณการซื้อมากเกินไป แต่ถ้าราคาต่ำกว่าสายเคลื่อนไหวด้านล่าง นั่นอาจเป็นสัญญาณขายมากเกินไป
ดังนั้น เมื่อคุณใช้ MACD และ Envelopes ร่วมกัน สามารถค้นหาสัญญาณที่ระบุถึงสถานะการซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไปจาก Envelopes ที่ระบุว่าการแกว่งของราคาอาจจะสิ้นสุดลง และในเวลาเดียวกัน MACD สามารถให้สัญญาณแนวโน้มที่ได้รับการยืนยันจากการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ระหว่างสองค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แตกต่างกัน โดยรวม การใช้ทั้งสองตัวชี้วัดร่วมกันสามารถช่วยเพิ่มความแม่นยำของการวิเคราะห์และการตัดสินใจการซื้อขายของคุณ
2. Envelopeและ (RSI)
การรวม Relative Strength Index (RSI) กับ Envelopes สามารถช่วยให้คุณสร้างสัญญาณการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น ทั้งสองตัวชี้วัดนี้มีความสามารถในการระบุการซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป ทำให้เป็นคู่ที่เข้ากันได้ดี
RSI เป็นตัวชี้วัดโมเมนตัมที่สร้างจากการวัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนไหวของราคา มันได้รับการปรับสเกลให้อยู่ในช่วงระหว่าง 0 ถึง 100 โดยทั่วไปแล้ว RSI ที่ต่ำกว่า 30 ถือว่าเป็นสภาวะขายมากเกินไป ในขณะที่ RSI ที่สูงกว่า 70 ถือว่าเป็นสภาวะซื้อมากเกินไป
Envelopes เป็นตัวชี้วัดที่สร้างจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้นที่มีการเพิ่มหรือลดความกว้างในการเคลื่อนไหวของราคา เมื่อราคาตัดผ่านEnvelopeด้านบน นั่นเป็นสัญญาณของสภาวะซื้อมากเกินไป แต่ถ้าราคาตัดผ่านEnvelopeด้านล่าง นั่นเป็นสัญญาณของสภาวะขายมากเกินไป
ดังนั้น การรวม RSI และ Envelopes สามารถเพิ่มความแม่นยำในการระบุตำแหน่งที่เหมาะสมในการซื้อหรือขาย การใช้ทั้งสองตัวชี้วัดร่วมกันสามารถช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากการทำนายสภาวะขายมากเกินไปหรือซื้อมากเกินไป และช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อหรือขายในตำแหน่งที่ดีที่สุด
ตัวอย่างเช่น
- หากราคาแตะขอบล่างของ Envelopes และ RSI ต่ำกว่า 30 นี่อาจระบุถึงโอกาสในการซื้อ
- หากราคาแตะขอบบนของ Envelopes และ RSI สูงกว่า 70 นี่อาจระบุถึงโอกาสในการขาย
3. Envelopeและ Bollinger Bands
ในขณะที่ทั้ง Envelopes และ Bollinger Bands ได้รับการออกแบบมาเพื่อสรุปการเคลื่อนไหวของราคา พวกเขาทำในลักษณะที่แตกต่างกันเล็กน้อย Bollinger Bands ปรับตัวเข้ากับความผันผวน โดยจะเพิ่มขึ้นเมื่อความผันผวนสูง และหดตัวเมื่อความผันผวนต่ำ ในทางกลับกัน Envelopeยังคงอยู่ที่เปอร์เซ็นต์คงที่ด้านบนและด้านล่างของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
การใช้indicatorทั้งสองนี้ร่วมกันสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจ ตัวอย่างเช่น เมื่อทั้ง Bollinger Bands และ Envelopes แคบลง อาจบ่งชี้ว่าราคาอาจเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ผู้ค้าสามารถรอให้ราคาทะลุกรอบด้านบนและ Bollinger Band เพื่อเริ่มต้นตำแหน่งยาวหรือทะลุด้านล่างซองด้านล่างและ Bollinger Band เพื่อเริ่มต้นตำแหน่งสั้น
ด้วยการรวมindicator Envelope เข้ากับindicatorทางเทคนิคอื่น ๆ ผู้ค้าสามารถสร้างระบบการซื้อขายที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าไม่มีกลยุทธ์ใดที่จะเข้าใจผิดได้ และการจัดการความเสี่ยงควรเป็นข้อพิจารณาหลักเสมอในความพยายามในการเทรด
บทสรุป
โดยสรุป indicator Envelope เป็นเครื่องมือที่หลากหลายและมีประโยชน์สำหรับผู้ค้าที่ต้องการระบุจุดเข้าและออกที่เป็นไปได้ตามเงื่อนไขการซื้อมากเกินไปและการขายมากเกินไป แม้ว่าจะมีข้อจำกัดอย่าง แต่เมื่อใช้อย่างเหมาะสมและใช้ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญ คือ ต้องใช้เทคนิคการจัดการความเสี่ยง และอย่าพึ่งพาเพียง indicator เดียวในการตัดสินใจซื้อขาย การฝึกฝนและประสบการณ์คือกุญแจสู่ความสำเร็จในการเทรดฟอเร็กซ์