การวิเคราะห์แนวโน้มในการเทรด Forex
การวิเคราะห์แนวโน้มในการเทรด Forex หรือการเทรดสกุลเงินเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่นักเทรดต้องมีความเข้าใจเป็นอย่างดี วิธีการวิเคราะห์แนวโน้มสามารถแบ่งออกเป็นสองหลัก คือ การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ทางพื้นฐาน การวิเคราะห์ทางเทคนิคมักจะใช้กราฟราคา ตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น Moving Average, RSI, MACD และอื่นๆ เพื่อดูแนวโน้มของราคา แนวรับ และแนวต้าน เป็นต้น
ในขณะที่การวิเคราะห์ทางพื้นฐานจะมองที่ข้อมูลเศรษฐกิจ ข่าวสาร และสถานการณ์โลก ที่อาจมีผลต่อความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอของสกุลเงินนั้นๆ การวิเคราะห์แนวโน้มโดยรวมจะช่วยในการตัดสินใจว่าควรจะเข้าเทรดในทิศทางใด ซื้อหรือขาย และเมื่อไหร่จะเข้าหรือออกจากตลาด
สำหรับนักเทรดระยะสั้น เขาจะมักใช้วิธีการวิเคราะห์แนวโน้มจากกราฟในระยะเวลาที่สั้น เช่น 1 ชั่วโมง หรือ 15 นาที เพื่อหาจุดเข้าและจุดออกที่ดีที่สุด ส่วนนักเทรดระยะยาวจะดูกราฟในระยะเวลาที่ยาวขึ้น เช่น 1 วัน หรือ 1 สัปดาห์ เพื่อดูแนวโน้มระยะยาวและคาดการณ์ภาพรวมของสกุลเงิน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการเทรดและจุดมุ่งหมายของนักเทรดเอง แต่โดยรวมการวิเคราะห์แนวโน้มเป็นสิ่งที่สำคัญและเป็นพื้นฐานในการเทรด Forex ที่ทุกคนควรจะเรียนรู้และใช้ประโยชน์ในการเทรดได้
นอกเหนือจากการใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคและการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานแล้ว การใช้งานระบบการจัดการความเสี่ยงและการกำหนดจุดหยุดขาดทุน (stop-loss) หรือจุดรับกำไร (take-profit) จะช่วยให้นักเทรดควบคุมความเสี่ยงของการเทรดได้ดียิ่งขึ้น บางครั้ง แม้ว่าจะมีการวิเคราะห์แนวโน้มที่ดีแล้ว การเกิดข่าวหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็สามารถทำให้ราคาสกุลเงินเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมีระบบการจัดการความเสี่ยงที่ดีจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
เทคนิคอื่น ๆ ที่สามารถช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มได้ เช่น การใช้กราฟแท่งเทียน (Candlestick Patterns) สำหรับการวิเคราะห์ราคาในระยะสั้น หรือ การใช้การวิเคราะห์อิลลิอตเวฟ (Elliott Wave Analysis) สำหรับการเทรดในระยะยาว
นักเทรดมือใหม่สามารถเริ่มต้นจากการใช้กราฟราคาประจำวัน และค่อย ๆ ลงระยะเวลาที่สั้นลง เพื่อค้นหาจุดเข้า-จุดออกที่เหมาะสม การใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) สำหรับการฝึกเทรดก่อนเริ่มใช้เงินจริง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีในการศึกษาและทดสอบแนวโน้มที่ได้วิเคราะห์มา
การเทรด Forex เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นการเรียนรู้และฝึกฝนตนเองในการวิเคราะห์แนวโน้มและการจัดการความเสี่ยง จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำให้เทรดของเทรดเดอร์มีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด
การดูเทรนในการเทรด Forex คืออะไร
การดูเทรน (Trend) ในการเทรด Forex หมายถึงการวิเคราะห์แนวโน้มของค่าสกุลเงินในช่วงเวลาที่เราสนใจ เพื่อที่จะได้ทราบว่าราคามีแนวโน้มเคลื่อนไปทิศทางใด นั่นคือ ขึ้น (Uptrend) ราบ (Sideways) หรือลง (Downtrend) โดยมักจะใช้เส้นแนวโน้ม (Trend Line) ที่วาดลงบนกราฟราคา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์
การดูเทรน (Trend) ในการเทรด Forex ประกอบด้วยหลายองค์ประกอบ ทั้งความรู้พื้นฐานของตลาด การวิเคราะห์ทางเทคนิค และเครื่องมือวิเคราะห์ ดังนี้
- ระยะเวลา: หนึ่งในสิ่งที่สำคัญคือการเลือกระยะเวลาที่จะวิเคราะห์ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นระยะสั้น (M1, M5), ระยะกลาง (H1, H4) และระยะยาว (D1, W1, MN)
- กราฟราคา: การใช้กราฟราคาแบบต่างๆ เช่น Line Chart, Candlestick Chart หรือ Bar Chart เพื่อวิเคราะห์แนวโน้ม
- เส้นแนวโน้ม (Trend Lines): ใช้เส้นเชื่อมระหว่างจุดต่ำสุดและจุดสูงสุด หรือระหว่างจุดสูงสุดหรือต่ำสุดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในช่วงเวลาที่เราสนใจ
- ตัวชี้วัดการเคลื่อนไหวเฉลี่ย (Moving Averages): ใช้เป็นเครื่องมือเสริมในการดูแนวโน้ม ทั้งในรูปแบบ Simple Moving Average (SMA) หรือ Exponential Moving Average (EMA)
- ระดับ Support และ Resistance: การทราบระดับที่ราคามักจะหยุดหรือย้อนกลับ สามารถช่วยในการตัดสินใจได้
- ตัวชี้วัดอื่น ๆ: เช่น MACD, RSI, Fibonacci retracements ซึ่งมักใช้ร่วมกับการดูแนวโน้มเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณ
- Volume: การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายสามารถใช้เป็นเครื่องมือเสริมในการตรวจสอบความแน่นอนของแนวโน้ม
- รูปแบบกราฟ (Chart Patterns): เช่น Triangles, Head and Shoulders, Flags ซึ่งบ่งบอกถึงลักษณะของแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นต่อไป
- การวิเคราะห์หลาย Timeframe: การดูกราฟในหลายระยะเวลาเพื่อยืนยันแนวโน้ม
- จังหวะของข่าวและสิ่งที่ส่งผลกระทบ: ข้อมูลหรือข่าวที่ส่งผลกระทบต่อค่าสกุลเงิน ซึ่งสามารถทำให้แนวโน้มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
การวิเคราะห์ Forex ทางเทคนิค สำหรับแนวโน้มและการดูเทรน
การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคในการเทรด Forex อย่างง่ายๆ โดยใช้กราฟจาก MetaTrader4 สำหรับการวิเคราะห์ มีหลักการพื้นฐานในการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค 3 ข้อคือ
1) ราคาในอดีตเป็นผลรวมของทุกปัจจัยที่ส่งผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญ
2) ราคาที่มีแนวโน้มในทิศทางหนึ่ง มักจะคงไว้ในทิศทางนั้นในระยะเวลาหนึ่ง
3) พฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนมักจะคล้ายคลึงกับในอดีต
เมื่อใช้ MetaTrader4 เทรดเดอร์สามารถใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคหลายอย่างเช่น Moving Averages, RSI, หรือ MACD ในการช่วยคาดการณ์แนวโน้มของราคา วิธีนี้ช่วยให้เทรดเดอร์เห็นภาพรวมของตลาดและสามารถตัดสินใจว่าจะเข้าหรือออกจากตลาดในเวลาใด การใช้กราฟเวลาแตกต่างกันยังเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา เช่น การใช้กราฟรายวันสำหรับการเทรดระยะยาว หรือกราฟ 1 ชั่วโมงสำหรับการเทรดระยะสั้น
เส้นที่บ่งบอกแนวโน้มดูยังไง Trend Line
เส้นที่บ่งบอกแนวโน้มหรือ Trend Line ในการวิเคราะห์เทคนิคคือเส้นที่ผ่านจุดต่าง ๆ ของราคาในกราฟ และใช้ในการทำนายแนวโน้มราคาในอนาคต อย่างไรก็ดี หลักการของเส้นแนวโน้มขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ของผู้ใช้ แต่มักจะแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะหลัก ดังนี้
เส้นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)
- เป็นเส้นที่เชื่อมต่อระหว่างจุดต่ำที่สุด (“Low”) ในกราฟราคาและมีแนวโน้มที่ขาขึ้น การที่เส้นแนวโน้มมีแนวโน้มขาขึ้นแสดงให้เห็นว่าราคาในตลาดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นักลงทุนส่วนใหญ่จะมองหาโอกาสในการซื้อเมื่อราคาถึงเส้นแนวโน้มนี้
อธิบายเส้นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)
เส้นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ในการวิเคราะห์เทคนิคเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าหรือสกุลเงินในตลาด รูปแบบของเส้นแนวโน้มขาขึ้นนี้สามารถเปรียบเทียบได้กับการเดินขึ้นบันได ในทางปฏิบัติ คุณจะเห็นว่าราคาจะเคลื่อนไหวในรูปแบบของ “Higher Highs” และ “Higher Lows” หรือคือ จุดสูงที่สุดใหม่ (“New Highs”) และจุดต่ำที่สุดใหม่ (“New Lows”) จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับเวลา
ดังนั้น เมื่อต้องการวิเคราะห์แนวโน้มขาขึ้น นักลงทุนหรือเทรดเดอร์มักจะสร้างเส้นแนวโน้มโดยใช้จุดต่ำที่สุด (“Low”) จากหลายๆ รอบเวลาเป็นจุดเริ่มต้น แล้วเชื่อมเส้นผ่านจุดต่ำที่สุดใหม่ (“New Low”) ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อราคาถึงหรือเข้าใกล้เส้นแนวโน้มขาขึ้นนี้ มักจะถือเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อ เพราะเป็นจุดที่ราคาจะได้รับการสนับสนุนและมีโอกาสจะเพิ่มขึ้นต่อไป
ข้อควรระวังก็คือ เส้นแนวโน้มไม่ได้เป็นเครื่องมือที่สามารถรับรองความเป็นไปได้ในอนาคตอย่างแน่นอน มันเป็นเพียงแนวทางในการตัดสินใจ ดังนั้น ควรใช้ร่วมกับปัจจัยวิเคราะห์อื่นๆ หรือเทคนิคการจัดการความเสี่ยง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการตัดสินใจลงทุนหรือการเทรด
เส้นแนวโน้มราบ (Sideways)
- ในกรณีที่ราคาไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจนทั้งขาขึ้นหรือขาลง จะเรียกว่ามีเส้นแนวโน้มราบ นักลงทุนอาจจะใช้เส้นนี้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจว่าจะรอดูหรือดำเนินการอย่างไร
อธิบายเส้นแนวโน้มราบ (Sideways)
เส้นแนวโน้มราบ (Sideways Trend) หรือที่บางครั้งเรียกว่าเส้นแนวโน้มแนวนอน (Horizontal Trend) คือ รูปแบบของการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่แสดงถึงแนวโน้มชัดเจนของการขึ้นหรือลง แต่ราคาขยับไปมาในช่วงราคาที่แคบและเจาะจง หรือนั่นคือ “Range Bound”
ในรูปแบบของการเคลื่อนไหวนี้ ราคาจะสร้าง “Higher Lows” และ “Lower Highs” ที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน หรือบางครั้งจะเป็น “Equal Highs” และ “Equal Lows” ตลอดเวลา ซึ่งส่งผลให้เส้นแนวโน้มราบหรือแนวนอนมักถูกวาดเพื่อบ่งบอกถึงระดับสนับสนุน (Support) และระดับความต้านทาน (Resistance) ที่ราคามักจะเด้งกลับเมื่อถึงระดับเหล่านี้
นักลงทุนหรือเทรดเดอร์มักจะใช้เส้นแนวโน้มราบนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการวิเคราะห์ที่จะเข้าซื้อหรือขาย โดยโดยทั่วไป จะเลือกซื้อเมื่อราคาใกล้เข้ามาที่ระดับสนับสนุน และจะเลือกขายเมื่อราคาใกล้เข้ามาที่ระดับความต้านทาน
หมายเหตุ แม้ว่าเส้นแนวโน้มราบจะไม่แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงที่ชัดเจน แต่มันยังสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจลงทุนหรือการเทรด และเมื่อราคาหนีออกจากระดับที่สนับสนุนหรือความต้านทาน นั่นถือเป็นสัญญาณที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม
เส้นแนวโน้มขาลง (Downtrend)
- เป็นเส้นที่เชื่อมต่อระหว่างจุดสูงที่สุด (“High”) ในกราฟราคาและมีแนวโน้มที่ขาลง การที่เส้นแนวโน้มมีแนวโน้มขาลงแสดงให้เห็นว่าราคาในตลาดมีแนวโน้มลดลง นักลงทุนส่วนใหญ่จะมองหาโอกาสในการขายหรือระงับการซื้อเมื่อราคาถึงเส้นแนวโน้มนี้
อธิบายเส้นแนวโน้มขาลง (Downtrend)
เส้นแนวโน้มขาลง (Downtrend) แสดงถึงแนวโน้มของราคาที่มีการเคลื่อนไหวลงในระยะยาวหรือระยะระหว่าง ในกราฟ, คุณจะเห็นว่าจุดขายสูงสุด (Highs) และจุดขายต่ำสุด (Lows) ทั้งคู่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ถ้าคิดภาพลักษณ์ นี่คือการเดินลงบันได ทีละขั้น คือราคาจะขายในระดับที่ต่ำกว่าจุดขายสูงสุดก่อนหน้านี้และหากมีการระดับราคาหน่อยๆ ก็จะเป็นที่ระดับที่ต่ำกว่าจุดขายต่ำสุดก่อนหน้านี้
เทรดเดอร์ที่วิเคราะห์แนวโน้มจะใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจขายหรือการขายชอร์ท (Short Selling) เพื่อนำไปสู่กำไร ในทางปฏิบัติ จุดที่ดีที่สุดในการเข้าระดับขายอาจจะเป็นเมื่อราคาถึงจุดระดับต้านทาน (Resistance) ซึ่งก็คือระดับที่ราคาเคยล้มลงมาก่อนหน้านี้ และเมื่อราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง การยืนยันแนวโน้มขาลงนั้นจะเพิ่มขึ้น
ข้อดี ข้อเสีย ของการวิเคราะห์แนวโน้มและดูเทรนในการเทรด
ข้อดี
- การวิเคราะห์แนวโน้มไม่ซับซ้อนและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
- ไม่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลหลายประเภท มีแค่เส้นแนวโน้มและราคาประกาศอย่างหนึ่ง
- สามารถใช้เส้นแนวโน้มในการกำหนดระบบการลงทุนหรือการเทรดได้
- สามารถใช้วิเคราะห์ในทั้งระยะยาวและระยะสั้น
- สามารถใช้เส้นแนวโน้มร่วมกับปัจจัยการวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อเพิ่มความเชื่อถือ
ข้อเสีย
- ถ้าเส้นแนวโน้มไม่ถูกวาดอย่างถูกต้อง จะทำให้การตัดสินใจผิดพลาด
- เส้นแนวโน้มไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยทางพื้นฐานหรือข่าวที่ส่งผลต่อราคา
- ในบางครั้ง ราคาสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและทำให้เส้นแนวโน้มที่วาดขึ้นมาก่อนหน้านั้นไม่เป็นไปตามคาดการณ์
- ในบางกรณี คุณจำเป็นต้องมีข้อมูลราคาที่เพียงพอและถูกต้องเพื่อวาดเส้นแนวโน้มอย่างถูกต้อง
- อาจไม่สามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาดได้อย่างรวดเร็วถ้าแต่เน้นการวิเคราะห์แนวโน้มเท่านั้น