Leverage คืออะไร
Leverage หรือ “เลเวอเรจ” คือ สัดส่วนหรืออัตราที่นักลงทุนหรือนักเทรดสามารถใช้เงินจำนวนน้อย เพื่อควบคุมสินทรัพย์หรือตำแหน่งที่มีมูลค่าสูงขึ้นในตลาดทางการเงิน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่โบรกเกอร์หรือผู้ให้บริการทางการเงินมักจะเสนอให้ การใช้เลเวอเรจจะเป็นการยืมเงินจากโบรกเกอร์หรือผู้ให้บริการเพื่อเปิดตำแหน่งที่มีมูลค่าสูงขึ้น นักเทรดจะต้องวางหลักประกันหรือ “Margin” ให้กับโบรกเกอร์เพื่อควบคุมตำแหน่งนั้น
การใช้เลเวอเรจเป็นเสมือนดาบสองคม ข้อดีคือเมื่อการเทรดไปในทิศทางที่คาดหวัง ผลตอบแทนที่ได้จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อเสียคือ หากเกิดขาดทุน จะสูญเสียเงินในอัตราที่สูงขึ้นเช่นกัน เพราะฉะนั้น การใช้เลเวอเรจต้องเป็นผลมาจากการวิเคราะห์และการประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
อัตราเลเวอเรจมักจะถูกแสดงในรูปแบบเช่น 1:50, 1:100, 1:500 ซึ่งหมายความว่า ด้วยเงินจำนวน 1 หน่วย สามารถควบคุมสินทรัพย์หรือตำแหน่งในอัตราของ 50, 100, หรือ 500 หน่วย
เพื่อจัดการความเสี่ยงในการใช้เลเวอเรจ นักเทรดมักจะใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น “Stop Loss” ซึ่งเป็นการตั้งค่าให้ระบบปิดตำแหน่งเทรดเมื่อขาดทุนถึงจุดที่ได้ตั้งไว้ล่วงหน้า ในเชิงป้องกันร่วมด้วย
Leverage คืออะไร ในการเทรด Forex
ค่า Leverage เป็นอัตราส่วนที่โบรกเกอร์ให้ยืมเงินเพื่อเปิดออเดอร์เทรด ในตลาดหุ้น หากต้องการซื้อ 1000 หุ้นที่ราคา 10$ ต่อหุ้น จะต้องใช้เงิน 10000$ ในบางกรณี โบรกเกอร์อาจให้ยืมเงินระหว่าง 50-80% ของมูลค่าหุ้น ซึ่งหมายความว่าอาจจะใช้เงินระหว่าง 5000-8000$ แทนที่จะต้องใช้เงิน 10000$ เต็มจำนวน โบรกเกอร์ก็จะมีการชาร์จค่าใช้จ่ายหรือดอกเบี้ยจากการยืมเงินนี้
ส่วนในตลาด Forex โบรกเกอร์บางแห่งอนุญาตให้ยืมได้ถึง 99% ของมูลค่าการเทรด ต้องใช้เงินเพียง 1% ของมูลค่าการเทรด ถ้าต้องการเทรด 1000$ จะใช้เงินเพียง 10$ ที่จะเปิดออเดอร์ ความแตกต่างระหว่างตลาดหุ้นและตลาด Forex คือใน Forex โบรกเกอร์มักจะไม่ชาร์จดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จากการยืมเงิน
Leverage มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเทรด Forex ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ดังนี้
- เพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไร ด้วยเงินลงทุนจำนวนเล็ก ๆ สามารถควบคุมตำแหน่งที่มีมูลค่าสูงขึ้น ทำให้มีโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น หากตลาดเคลื่อนไปในทิศทางที่คาดหวัง
- เลเวอเรจช่วยให้ใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถใช้จำนวนเงินเพียงเล็กน้อยในการเปิดตำแหน่งที่มีมูลค่ามาก
- ไม่จำเป็นต้องมีเงินจำนวนมากเพื่อเริ่มต้นลงทุนใน Forex เทรดเนอร์รายย่อยหลายคนสามารถเข้าร่วมตลาดได้
- ด้วยเลเวอเรจ สามารถทดสอบกลยุทธ์ต่าง ๆ ในสภาพคล้าย ๆ กับการเทรดจริง โดยไม่ต้องริกทุนจำนวนมาก
- ไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือค่าซื้อขายมาก เนื่องจากใช้เงินของโบรกเกอร์ในการควบคุมตำแหน่งที่มีมูลค่าสูง
การใช้ Leverage ในตลาด Forex
การใช้ Leverage ในตลาด Forex ช่วยให้นักเทรดสามารถควบคุมสินทรัพย์ขนาดใหญ่ด้วยเงินประกัน (Margin) ที่น้อยลง วิธีการที่ Leverage ทำงานในสถานการณ์ต่าง ๆ จากทุนเริ่มต้น 1,000$ คือ
- ถ้าเลือก Leverage 1:10: นักเทรดสามารถควบคุมสินทรัพย์ขนาดสูงสุด 10,000$ หรือ 1 Lot (เนื่องจาก 1 Lot มีมูลค่า 100,000$)
- ถ้าเลือก Leverage 1:100: นักเทรดสามารถควบคุมสินทรัพย์ขนาดสูงสุด 100,000$ หรือ 1 Lot
- ถ้าเลือก Leverage 1:200: นักเทรดสามารถควบคุมสินทรัพย์ขนาดสูงสุด 200,000$ หรือ 2 Lot
- ถ้าเลือก Leverage 1:500: นักเทรดสามารถควบคุมสินทรัพย์ขนาดสูงสุด 500,000$ หรือ 5 Lot
- ถ้าเลือก Leverage 1:1,000: นักเทรดสามารถควบคุมสินทรัพย์ขนาดสูงสุด 1,000,000$ หรือ 10 Lot
- ถ้าเลือก Leverage 1:2,000: นักเทรดสามารถควบคุมสินทรัพย์ขนาดสูงสุด 2,000,000$ หรือ 20 Lot
การเลือก Leverage ที่สูงจะเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนด้วยเช่นกัน หรือเรียกง่ายๆว่า โอกาสทำกำไรได้สูง โอกาสล้างพอร์ตก็สูง พอกัน
วิธีการคำนวณเลเวอเรจใน Forex สำหรับผู้เริ่มต้น
วิธีที่ง่ายที่สุดในการคำนวณเลเวอเรจในฟอเร็กซ์ คือ การใช้เครื่องคำนวณเลเวอเรจฟอเร็กซ์ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องทันที
สูตร Leverage
- Leverage = Total Value of Trade / Margin
เป็นวิธีการคำนวณเพื่อหาอัตรา Leverage ในการเทรด ซึ่งสะท้อนถึงปริมาณเงินที่คุณต้องใช้ (Margin) เพื่อควบคุมราคาทั้งหมดของสัญญาหรือ Lot (Total Value of Trade)
- Total Value of Trade: หมายถึงมูลค่ารวมของปริมาณการซื้อขายที่คุณกำลังจะเปิด นั่นคือ ราคาของหน่วยในการซื้อขายคูณกับจำนวนหน่วยหรือ Lot ที่คุณเปิด
- Margin: หมายถึงเงินที่คุณต้องใช้เป็นหลักประกันเพื่อเปิดตำแหน่งที่ต้องการ
อัตรา Leverage ที่ได้จากสูตรนี้จะบอกคุณว่าคุณสามารถควบคุมสินทรัพย์ขนาดไหนด้วยเงินที่คุณมีเป็นหลักประกัน (Margin)
ตัวอย่างจากสูตร
- ทั้งหมด: ถ้าคุณเปิด Lot 1 ในคู่ EUR/USD ที่ราคา 1.2000 มูลค่ารวม (Total Value of Trade) จะเท่ากับ 1 Lot x 100,000 EUR = 120,000 USD
- มาร์จิน: ถ้าอัตรา Leverage คือ 1:100 มาร์จินที่จำเป็นจะเป็น 120,000 / 100 = 1,200 USD
- อัตรา Leverage: 120,000 USD (Total Value of Trade) / 1,200 USD (Margin) = 100 (Leverage 1:100)
เมื่อคุณรู้ค่ามาร์จินและมูลค่ารวมของการเทรด คุณสามารถใช้สูตรนี้ เพื่อหาอัตรา Leverage และเข้าใจถึงความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องได้
ค่า Leverage ใน Forex
ค่า Leverage อัตราส่วนที่โบรกเกอร์ให้ยืมเงินเพื่อเทรดหรือลงทุนในสินทรัพย์ อัตราส่วนนี้ถูกนิยามในรูปแบบของอัตราส่วน เช่น 50:1, 100:1 หรือ 500:1 ซึ่งหมายความว่า ด้วยเงินประกัน (Margin) 1 หน่วย สามารถควบคุมสินทรัพย์ขนาด 50, 100, หรือ 500 หน่วย
การใช้ Leverage ในการเทรดหรือลงทุนนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ สามารถขยายขนาดการเทรดหรือลงทุนได้ และเมื่อการเทรดประสบความสำเร็จ จะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ข้อเสียคือ ความเสี่ยงในการสูญเสียเงินก็จะสูงขึ้นในอัตราส่วนเดียวกัน ดังนั้น การใช้ Leverage ต้องใช้ความระมัดระวังและวางแผนจัดการความเสี่ยงอย่างดี
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้ามี 1,000$ ในบัญชี และใช้ Leverage ขนาด 50:1 จะสามารถเทรดหรือลงทุนในสินทรัพย์ขนาด 50,000$ ด้วยเงินที่มีในบัญชี
การเลือกใช้ค่า Leverage ในการเทรด Forex
การเลือกใช้ค่า Leverage ในการเทรด Forex ถือเป็นเรื่องสำคัญที่นักเทรดควรมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ดังนี้คือหลักปฏิบัติที่นักเทรดควรคำนึงถึง
1. จงเลือกค่า Leverage ไม่เกิน 1:200 สำหรับการเทรด forex แบบ Saving
เลือกใช้ Leverage ที่ค่อนข้างต่ำ เช่น 1:200 หรือต่ำกว่า จะช่วยลดความเสี่ยงและความผันผวนของการเทรด แม้ว่ามันจะจำกัดจำนวน Lot ที่สามารถเปิดได้ แต่ในทางกลับกัน มันจะทำให้มีโอกาสในการจัดการความเสี่ยงและปรับเทคนิคการเทรดให้ดีขึ้น การใช้ Leverage ที่ต่ำเหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์มาก หรือผู้ที่ต้องการเทรดในรูปแบบที่ค่อนข้างสงบและเสถียร
2. เลือกค่า Leverage 1:2000 ต่อเมื่อเทคนิคการเทรดเจ๋งมากๆ
ถ้ามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการเทรด และมีผลประสบการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ อาจจะเลือกใช้ Leverage ที่สูงขึ้น เช่น 1:2000 การใช้ Leverage สูงจะเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะสั้น แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงของการขาดทุนได้เช่นกัน ดังนั้น ควรใช้ค่า Leverage สูงเมื่อมั่นใจในเทคนิคและกลยุทธ์การเทรด
การกำหนด Leverage ในการเทรด Forex
การเทรด Forex ด้วย Leverage ที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และการทำสิ่งนี้จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังที่อธิบายไว้ด้านล่าง
1. ความสามารถในการรับความเสี่ยง
- ถ้ายังไม่มีประสบการณ์มากนักในการเทรด Forex ควรจะเลือกใช้ Leverage ที่ต่ำ เช่น 1:100 หรือ 1:200 เพื่อลดความเสี่ยง
2. กลยุทธ์การเทรด และแผนการบริหารความเสี่ยง
- ถ้ากลยุทธ์การเทรดมีความสำเร็จและประสิทธิภาพสูง อาจเลือกใช้ Leverage ที่สูงกว่า
- ควรมีแผนการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการตั้ง Stop Loss, Take Profit หรือการใช้ Hedging Strategies
3. ความแตกต่างของเงินทุน และความต้องการใน Lot Size
- ต้องพิจารณาถึงขนาดของ Lot ที่ต้องการเทรด เพื่อตัดสินใจเลือก Leverage ที่เหมาะสม
- หากมีเงินทุนต่ำ การใช้ Leverage สูงจะช่วยให้สามารถเทรด Lot ขนาดใหญ่ขึ้น แต่ก็เพิ่มความเสี่ยง
4. พิจารณาจากระดับ Free Margin
- ตรวจสอบระดับ Free Margin ที่มีอยู่เพื่อมั่นใจว่ามีเพียงพอสำหรับการเปิดคำสั่งซื้อใหม่ หรือการถือครองคำสั่งซื้อที่เปิดอยู่
- ถ้าระดับ Free Margin ไม่เพียงพอ อาจจำเป็นต้องปรับ Leverage หรือปิดบางคำสั่งซื้อที่เปิดอยู่
5. การปรับ Leverage ตามความเหมาะสม
- อาจจำเป็นต้องปรับ Leverage จากเวลาถึงเวลา ขึ้นอยู่กับสถานะการเงิน ความเสี่ยง และกลยุทธ์ที่ใช้
ความสัมพันธ์ระหว่าง Leverage และ Margin ในการเทรด Forex
Leverage และ Margin เป็นความสัมพันธ์ เพื่อจัดการความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด
Leverage
Leverage เป็นอัตราส่วนที่ใช้ในการคูณเงินทุนให้มีขนาดใหญ่ขึ้น อัตราส่วนนี้มักจะแสดงในรูปแบบของ “1:100”, “1:500”, หรือ “1:1000” ซึ่งหมายความว่า ด้วยเงินทุน $1,000 และ Leverage 1:100, จะสามารถเทรดขนาดสัญญา (Lot) มูลค่าสูงสุด $100,000
Margin
Margin คือ จำนวนเงินที่จำเป็นต้องมีอยู่ในบัญชีเทรดเพื่อรองรับความเสี่ยงและขยายขนาดเงินทุนด้วย Leverage หากเทรดด้วย Leverage 1:100 และต้องการเปิดสัญญา 1 Lot ($100,000) จะต้องมี Margin อยู่ที่ $1,000
ความสัมพันธ์
- เพิ่ม Leverage ลด Margin: เมื่อเพิ่ม Leverage (เช่น จาก 1:100 ไปยัง 1:500), จะต้องใช้ Margin น้อยลงเพื่อเปิดสัญญาเดียวกัน
- Margin Call และ Leverage: ความสัมพันธ์ระหว่าง Margin และ Leverage สำคัญในการป้องกัน Margin Call (การที่ Broker ขอให้เติมเงินเพิ่มเข้าไปในบัญชีเทรด)
- Free Margin: คือจำนวนเงินที่สามารถใช้เปิดสัญญาใหม่ หรือรองรับขาดทุนจากสัญญาที่เปิดอยู่ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ Leverage และ Margin ที่ใช้
- การบริหารความเสี่ยง: การใช้ Leverage สูงจะเพิ่มความเสี่ยงและทำให้ Margin ที่มีอยู่หมดได้เร็วขึ้น ดังนั้นควรใช้ Leverage ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดและระดับความสามารถในการรับความเสี่ยง
ความสัมพันธ์ ระหว่าง Leverage กับ Lot
ในโลกของการเทรด Forex หรือตลาดการเงินอื่น ๆ Leverage และ Lot คือ สองปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดและส่งผลต่อกันไปมา อัตรา Leverage ที่เลือกใช้จะส่งผลต่อจำนวน Lot ที่สามารถเทรดได้ ดังนี้
Lot
ในตลาด Forex “Lot” คือหน่วยการซื้อขาย ซึ่งส่วนใหญ่จะมีมูลค่าประมาณ $100,000 สำหรับ Standard Lot แต่ยังมี Mini Lot, Micro Lot ที่มีขนาดเล็กลง ตามอัตราส่วน
ความสัมพันธ์
- ขนาด Lot ขึ้นอยู่กับ Leverage: หากใช้ Leverage สูง (เช่น 1:500) สามารถเปิด Lot ใหญ่ขึ้น หรือหลาย Lot ด้วยเงินทุนน้อย
- การเพิ่ม Leverage เพิ่มขนาด Lot: ขยายขนาด Lot ได้เพื่มขึ้นด้วยอัตรา Leverage ที่สูง ดังนั้น ถ้ามี $1,000 และใช้ Leverage 1:100 สามารถเทรดได้สูงสุด 1 Standard Lot ($100,000) แต่หากใช้ Leverage 1:500 จะสามารถเทรดได้สูงสุด 5 Standard Lots ($500,000)
- ความเสี่ยงและผลตอบแทน: การใช้ Leverage สูงจะทำให้สามารถเทรด Lot ใหญ่ขึ้น แต่ทั้งนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงและโอกาสในการเสียเงินทุนได้เร็วขึ้น
- การบริหารความเสี่ยง: การที่สามารถเลือกขนาด Lot ได้ สามารถช่วยในการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้เข้ากับเงินทุนและแผนการเทรด
ข้อดี ข้อเสีย Leverage
ข้อดี
- Leverage สามารถควบคุมหน่วยเงินที่มากกว่าเงินทุน ซึ่งเปิดโอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้น
- สามารถเปิดหลายๆ สัญญาหรือ Lot ด้วยเงินทุนที่จำกัด ทำให้สามารถหลายๆ ประเภทของสินทรัพย์ได้
- ด้วย Leverage ที่สูง สามารถทดลองกลยุทธ์การเทรดที่ต้องการใช้เงินทุนมากๆ ด้วยเงินทุนน้อย
- ไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการเริ่มต้น ทำให้เหมาะสำหรับนักเทรดระดับมือใหม่หรือคนที่มีเงินทุนจำกัด
ข้อเสีย
- หากตลาดเคลื่อนไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด สามารถสูญเสียเงินทุนทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น
- การใช้ Leverage สูงจะทำให้การบริหารความเสี่ยงเป็นเรื่องที่ยากขึ้น
- อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือค่าบริการที่สูงขึ้น เช่น ค่า Swap และค่าคอมมิชชั่น เนื่องจากเทรดขนาดใหญ่ขึ้น
- การที่มีโอกาสทำกำไรสูงสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจและการตัดสินใจของนักเทรด ทำให้เกิดการเทรดอย่างละเอียดและพิจารณาไม่ถี่ถ้วน
- ในกรณีที่ตลาดเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว อาจพบกับ “Margin Call” ซึ่งเป็นการเตือนว่าจำเป็นต้องเติมเงินเพิ่มหรือปิดตำแหน่งในทันที