Money Management คืออะไร
Money Management (MM) คือ เครื่องมือและหลักการที่มีอยู่ในมือนักลงทุน เพื่อให้การลงทุนของนักลงทุนมีความเป็นระบบและเป็นมาตรฐาน ด้วยการบริหารจัดการเงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันความเสี่ยงและการขาดทุนได้แบบมีประสิทธิภาพ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนทั้งใหม่และมืออาชีพ
การทำ MM ทำให้นักลงทุนมีระบบในการแบ่งปันเงินลงทุน โดยปกติแล้วเขาจะแบ่งเงินออกเป็นสองประเภท คือ เงินสำรองและเงินหมุนเวียน เงินสำรองมักจะถูกตั้งไว้เพื่อความปลอดภัยและไม่ใช้ในการลงทุนเสี่ยงสูง ในขณะที่เงินหมุนเวียนจะถูกนำไปใช้ในการซื้อสินทรัพย์สำหรับการลงทุนหรือสินทรัพย์อื่นๆ การที่นักลงทุนมีระบบการจัดการเงินที่ชัดเจนจะช่วยให้เขาไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการขาดทุนที่มากเกินไป
ไม่เพียงแต่นั้น MM ยังมีเครื่องมือและเทคนิคเพื่อควบคุมความเสี่ยง เช่น การตั้ง Stop Loss หรือการกำหนดวงเงินที่จะลงทุนในสินทรัพย์สำหรับการลงทุนแต่ละตัว การใช้เครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยให้นักลงทุนปรับแต่งกลยุทธ์การลงทุนของตนเองให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ต้องการ และการตั้งค่าที่เหมาะสมสามารถช่วยป้องกันการขาดทุนที่มากเกินความสามารถที่จะรับไหว สรุปแล้ว MM ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นการรับรู้และการมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุน ซึ่งเมื่อนำมาใช้แบบถูกต้องจะช่วยให้พอร์ตการลงทุนของเรามีความยั่งยืนและปลอดภัยมากขึ้น
ขั้นตอนของการ Money Management (MM)
ข้อที่ 1 การควบคุมความเสี่ยง
ในการลงทุน การควบคุมความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญ เพราะการลงทุนไม่มีใครรู้อนาคตแน่นอน การวางแผน Risk & Reward เป็นสิ่งจำเป็น ส่วน “Risk” คือการตั้งจุด Stop Loss เพื่อจำกัดความเสียหาย หากเกิดขึ้น ส่วน “Reward” คือการประเมินโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทน ซึ่งมักเป็นผลมาจากการวิเคราะห์ตลาดและสินทรัพย์สำหรับการลงทุน
การควบคุมความเสี่ยงเป็นส่วนสำคัญของการบริหารจัดการเงินลงทุน โดยเราควรตระหนักถึงความเสี่ยงในการลงทุนแต่ละโอกาส เพื่อไม่ให้เสียหายเกินความสามารถที่จะรับได้ การตั้ง Stop Loss เป็นวิธีหนึ่งในการจำกัดความเสียหาย
โดยยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราซื้อสินทรัพย์สำหรับการลงทุนแล้วมีการลดลง 3% จากราคาที่เราซื้อ เราควรจะขายออกเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะตามมา โดยรวม การควบคุมความเสี่ยงช่วยให้นักลงทุนลดความเสี่ยงจากการเสียเงินลงทุนที่เป็นไปได้ และรักษาความสามารถในการลงทุนในอนาคต
ข้อที่ 2 การจัดสรรเงินลงทุน
ไม่ควรใช้เงินทุนทั้งหมดในการลงทุนสินทรัพย์สำหรับการลงทุนตัวเดียว เพื่อกระจายความเสี่ยง หากมีเงินลงทุน 1 แสนบาท แนะนำให้แบ่งลงทุนเป็นส่วนๆ ระหว่าง 10-25% ของทุนสำหรับสินทรัพย์สำหรับการลงทุนแต่ละตัว ทำให้เหลือโอกาสลงทุนสินทรัพย์สำหรับการลงทุนตัวอื่น หรือแม้กระทั่งเพิ่มลงทุนสินทรัพย์สำหรับการลงทุนเดิมในอนาคต
การจัดสรรเงินลงทุนอย่างมีระบบช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยง และไม่ใช้เงินทุนทั้งหมดในการลงทุนแค่โอกาสเดียว
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีเงินทุน 1 แสนบาท เราควรจะใช้เพียง 10-25% ของเงินทุนนั้นสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์สำหรับการลงทุนแต่ละตัว เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในหลายๆ โอกาส
ข้อที่ 3 การวางแผนการลงทุน
การวางแผนช่วยให้ตัดสินใจในทุกๆ เหตุการณ์อย่างมีระบบ ยกตัวอย่างเมื่อตลาดสินทรัพย์สำหรับการลงทุนไทยมีการปรับฐานลง เนื่องจากปัจจัยต่างประเทศ นักลงทุนที่มีแผนจะสามารถเข้าซื้อสะสมสินทรัพย์สำหรับการลงทุนได้ เพื่อรอโอกาสการปรับขึ้น แต่หากไม่มีแผนการลงทุน เราอาจจะตกอยู่ในวงเวียนของการเทขายทันที
การมีแผนการลงทุนชัดเจนสำหรับทุกโอกาสการลงทุนช่วยให้นักลงทุนมีเป้าหมาย, ความเสี่ยง, และความคาดหวังที่ชัดเจน เมื่อมีแผนการลงทุนที่ดี, การตัดสินใจในการลงทุนจะเป็นไปอย่างมีระบบและรู้จักการจัดสรรเงินลงทุนที่เหมาะสม ยิ่งในสถานการณ์ที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว, การมีแผนการลงทุนชัดเจนจะช่วยให้เราสามารถปรับตัวได้ตามสถานการณ์และยังมั่นใจในการลงทุน
สุดท้าย Money Management นั้นไม่เพียงแต่เป็นการบริหารความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางแผนการซื้อขาย และการกำหนด Position Sizing ก็สำคัญ เพราะช่วยให้นักลงทุนกำหนดแผนการขาดทุนเอาไว้ล่วงหน้า นั่นคือการกำหนดล่วงหน้าว่าจะยอมขาดทุนแค่ไหน การคำนวณ Position Sizing นั้นต้องพิจารณาจากความเสี่ยงและทุนของตนเอง
สูตรคำนวณ Money Management
การจัดการเงิน (Money Management) เป็นหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญสำหรับนักลงทุนและนักเทรดในตลาดการเงิน ซึ่งท่ามกลางเทคนิคการลงทุนและการวิเคราะห์ต่าง ๆ การจัดการเงินเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการลงทุน
กฎ 2% ในการจัดการเงิน
กฎ 2% เป็นหนึ่งในกฎการจัดการเงินที่ได้รับความนิยม แนวคิดหลักคือการลงทุนในแต่ละครั้งไม่ควรเสี่ยงขาดทุนเกิน 2% ของเงินทุนทั้งหมด
ตัวอย่าง: หากผู้ลงทุนมีเงินทุน 100,000 บาท แล้วต้องการวางแผนการลงทุนโดยปฏิบัติตามกฎ 2% นั้น เมื่อคำนวณจะพบว่าผู้ลงทุนสามารถเสี่ยงขาดทุนได้สูงสุด 2,000 บาท (100,000 x 2%)
การคำนวณจำนวนสินทรัพย์ที่จะลงทุน
เมื่อผู้ลงทุนกำหนดได้แล้วว่าจะเสี่ยงขาดทุนสูงสุดเท่าไร ผู้ลงทุนจำเป็นต้องคำนวณจำนวนสินทรัพย์ที่จะลงทุน เพื่อไม่ให้ขาดทุนเกินกว่าที่กำหนด
- คำนวณจากเงินทุนเสี่ยงขาดทุนสูงสุด: นำเงินทุนที่ยอมรับในการเสี่ยงขาดทุน (เช่น 2,000 บาท) หารด้วยราคาการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์แต่ละหน่วย (เช่น ราคาการเปลี่ยนแปลงต่อหุ้น หรือต่อสัญญาเทรด)
- คำนวณจากเงินทุนสูงสุดที่จะลงทุนแต่ละครั้ง: นำเงินทุนที่จะลงทุนในครั้งนั้น หารด้วยราคาสินทรัพย์ต่อหน่วย
วิธีการใช้กฎ 2% ในการจัดการเงิน (Money Management)
กฎ 2% เป็นหลักการง่ายๆ ที่มีมาเพื่อช่วยกำหนดจำนวนเงินที่นักลงทุนควรลงทุนในแต่ละตัวหุ้น โดยจะมีหลักการดังนี้:
- คำนวณจำนวนเงินที่ยอมขาดทุนได้ต่อการลงทุนครั้งหนึ่ง: ตั้งค่าความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในการลงทุนในครั้งหนึ่งๆ ไม่เกิน 2% ของเงินทุนทั้งหมดที่มีอยู่
- คำนวณจำนวนเงินที่สามารถลงทุนในตัวหุ้น: ตามจำนวนเงินที่ยอมรับความเสี่ยงได้ และราคาที่ตั้งไว้เพื่อตัดขาดทุน (Stop Loss)
ตัวอย่างการใช้กฎ 2%
ตัวอย่างที่ 1
สมมติว่าคุณมีเงินทุนเริ่มต้น 100,000 บาท และคุณต้องการลงทุนในหุ้น “ก” คุณจึงต้องกำหนดว่า:
- คุณยอมรับความเสี่ยงได้ 2% ของ 100,000 บาท = 2,000 บาท
- สมมติว่าคุณซื้อหุ้น “ก” ในราคา 100 บาทต่อหุ้น และกำหนดราคา Stop Loss ที่ 95 บาท ทำให้ความเสียหายต่อหุ้นที่คุณยอมรับได้ = 5 บาท/หุ้น
จากข้อมูลข้างต้น คุณจะสามารถคำนวณจำนวนหุ้นที่ควรซื้อได้
- = (เงินที่ยอมขาดทุนได้) / (ความเสียหายต่อหุ้น) = 2,000 บาท / 5 บาท/หุ้น = 400 หุ้น
ดังนั้น คุณควรลงทุนซื้อหุ้น “ก” 400 หุ้น ซึ่งเท่ากับ 40,000 บาท.
- หากการลงทุนครั้งนี้ขาดทุนตามที่กำหนด คุณจะเสียเงิน 2,000 บาท และเงินทุนทั้งหมดที่เหลือจะเป็น 98,000 บาท
- เมื่อเข้ามาในการลงทุนครั้งถัดไป คุณจะยอมรับความเสี่ยงได้ 2% ของ 98,000 บาท หรือเท่ากับ 1,960 บาท
- การใช้กฎ 2% ช่วยให้คุณสามารถควบคุมความเสี่ยงและการขาดทุน ทำให้เงินทุนของคุณยืนยาวในระยะยาว แม้จะเกิดการขาดทุนในระยะสั้น
หลักการบริการความเสี่ยง Money Management
Money Management หรือ การบริหารจัดการเงินในวงการลงทุนเป็นหลักการที่มีวัตถุประสงค์ในการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุน และพยายามทำให้เงินลงทุนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ อธิบายละเอียดดังนี้
- ต้องกำหนดวงเงินในการลงทุน เพราะการกำหนดวงเงินที่เสี่ยงในการลงทุนได้นั้น ทำให้ไม่ไปสูญเสียเงินเกินไปจากความคาดหวังหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
- การกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) เพราะการกำหนดจุดที่จะขายหุ้นหรือตราสารที่ลงทุนเมื่อมันไม่ไปในทิศทางที่ต้องการ ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสียหายในระยะยาว
- การคำนวณ Risk to Reward Ratio การประเมินสัดส่วนระหว่างความเสี่ยงที่เสียหายและผลตอบแทนที่คาดหวัง เพื่อให้เข้าใจว่าการลงทุนในแต่ละครั้งนั้นคุ้มค่าหรือไม่
- การจัดสรรเงินลงทุน มีการแบ่งเงินลงทุนออกเป็นส่วนต่าง ๆ เพื่อลงทุนในหลายตราสาร ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดและสามารถใช้โอกาสที่ดีในตลาดได้
- การปรับขนาดตำแหน่งการลงทุน (Position Sizing) การปรับขนาดตำแหน่งการลงทุนโดยอิงตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อไม่ให้สูญเสียเงินเกินความสามารถในการรับความเสี่ยง
- ต้องการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าใจโอกาสและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในแต่ละเวลา
การบริหารเงินทุน Money Management ในการเทรด Forex
การบริหารจัดการเงินทุนเป็นส่วนสำคัญที่ผู้ลงทุนหรือเทรดเดอร์ในตลาด Forex ควรให้ความสำคัญ เพื่อป้องกันความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดี ดังนั้น มาดูวิธีการบริหารหน้าตักที่ปลอดภัยและป้องกันการเกิด Margin Call
การเปรียบเทียบขนาด Lot กับ Margin
- Leverage 1:100 คือ การยืมเงินจากโบรกเกอร์ในอัตรา 100 เท่าของเงินทุนของเรา
- ทศนิยม: การคำนวณควรยึดตามทศนิยม 4 จุด (บางโบรกก็มีทั้ง 4 และ 5 จุด)
ตารางเปรียบเทียบ Lot, Margin และผลตอบแทนต่อการเคลื่อนที่ 1 จุด
Lot 1.0
- ใช้เงิน Margin: 1,000$
- กำไร/ขาดทุนต่อ 1 จุด: 10$
Lot 0.1
- ใช้เงิน Margin: 100$
- กำไร/ขาดทุนต่อ 1 จุด: 1$
Lot 0.01
- ใช้เงิน Margin: 10$
- กำไร/ขาดทุนต่อ 1 จุด: 1$
คำนึงถึงคู่เงิน (Currency Pair)
ยกตัวอย่างเป็นคู่ EUR/USD ซึ่งเป็นฐานในการคำนวณ แต่ต้องระวังว่าคู่เงินอื่นๆ อาจมี Margin และอัตราการได้เสียต่อการเคลื่อนที่ 1 จุด ที่แตกต่างกัน
การทำ Money Management เพื่อเตรียมตัวในการลงทุนสินทรัพย์
การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เป็นกระบวนการที่ต้องการการวางแผนและการตัดสินใจที่ดี เพื่อป้องกันความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดี Money Management หรือ การบริหารจัดการเงิน เป็นส่วนสำคัญที่ไม่ควรข้ามไป แนวทางการทำ Money Management ประกอบด้วย
ประเมินก่อนตัดสินใจลงทุนด้วย MM
การลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ ควรเริ่มต้นจากการประเมินว่าสินทรัพย์นั้นมีความคุ้มค่าหรือไม่ ด้วยการนำผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับมาเทียบกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเรียกว่า Risk/Reward Ratio แนวทางนี้จะช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าใจและวิเคราะห์ได้ว่าการลงทุนในครั้งนี้เป็นการที่คุ้มค่าหรือไม่
กำหนดจำนวนเงินทุนที่เสี่ยงขาดทุนได้สูงสุด
ก่อนการลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ ควรกำหนดว่าในกรณีที่มีการขาดทุนจะเสียไปเท่าไร การตั้งเกณฑ์ขาดทุนไม่เกิน 2% ของเงินทุน จะช่วยให้มั่นใจว่าในกรณีที่ตลาดไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง ผู้ลงทุนยังสามารถดำเนินการต่อไปได้
บริหารสัดส่วนเงินทุน
เพื่อลดความเสี่ยง ควรมีการวางแผนแบ่งสรรเงินทุนในการลงทุนเพื่อให้การลงทุนกระจายไปในหลายๆ สินทรัพย์ ยิ่งไปกว่านั้นควรจำกัดจำนวนเงินทุนในการลงทุนแต่ละครั้ง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการที่สินทรัพย์บางตัวไม่ได้ผลตอบแทนที่คาดหวัง
คำนวณจำนวนสินทรัพย์
การคำนวณจำนวนสินทรัพย์ที่จะลงทุน ควรทำอิงตามวงเงินที่กำหนดไว้สำหรับการขาดทุน และอิงตามวงเงินทุนที่ใช้ลงทุนในการเทรดแต่ละครั้ง การทำแบบนี้จะช่วยให้ผู้ลงทุนควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำ Money Management นี้ เป็นการวางแผนและการตัดสินใจที่จะป้องกันความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดี จึงควรใช้เวลาในการศึกษาและเตรียมตัวอย่างรอบคอบและไม่ควรเปลี่ยนผ่านง่ายๆ
กลยุทธ์ในการบริหารเงินทุน (Money Management)
การบริหารจัดการเงินทุนเป็นส่วนสำคัญที่นักลงทุนและนักเทรดควรมีการวางแผนและใช้กลยุทธ์ในการดำเนินการ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ดังนี้
การแบ่งไม้
- กลยุทธ์ในการแบ่งการลงทุนออกเป็นส่วนๆ เพื่อลดความเสี่ยง
- ไม่เน้นการลงทุนทั้งหมดในคราวเดียว (All-in)
- “ไม้” หมายถึงจำนวนครั้งที่นำเงินทุนไปซื้อสินทรัพย์
การ Cut Loss
- วิธีการตัดการลงทุนก่อนที่จะขาดทุนเกินพอที่จะรับได้
- ช่วยในการกำหนดจุดออกจากตลาดเมื่อตลาดไม่ไปในทิศทางที่คาดหวัง
- สำคัญสำหรับการบริหารจัดการความเสี่ยง
Risk of Ruin
- การประเมินโอกาสที่จะเกิดความขาดทุนจนไม่สามารถกู้คืนได้
- การคำนวณขึ้นอยู่กับจำนวนสินทรัพย์ที่จะลงทุนเทียบกับสินทรัพย์ทั้งหมด
- วิธีที่ช่วยในการประเมินความเสี่ยงในการลงทุนคือ Value-at-Risk (VaR) และ การคำนวณแบบ (Monte Carlo method)
Risk/Reward Rati
- อัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงที่พร้อมที่จะรับ (Risk) และผลตอบแทนที่คาดหวัง (Reward)
- จะช่วยให้นักเทรดตัดสินใจในการตั้ง Target และ Stop Loss
- อัตราส่วนที่เหมาะสมควรอยู่ในระดับ 1:3 หรือมากกว่า
ในการใช้กลยุทธิ์นี้ การบริหารจัดการเงินทุนจะช่วยให้นักลงทุนและนักเทรดสามารถลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
กลยุทธ์อื่นๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ Money Management เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการลงทุน คือ
การกำหนดจุดเข้า (Entry Point) และจุดออก (Exit Point)
- การกำหนดเวลาที่ดีที่สุดเมื่อจะเข้าซื้อหรือขายสินทรัพย์
- ควรมีเหตุผลและการวิเคราะห์ที่ชัดเจนในการตัดสินใจ
การกำหนด Stop Loss และ Take Profit
- Stop Loss: คือราคาที่ตั้งไว้เพื่อขายสินทรัพย์เมื่อเกิดขาดทุน ช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
- Take Profit: คือราคาที่ตั้งไว้เพื่อขายสินทรัพย์เมื่อได้กำไรตามที่ต้องการ
การประเมินการสัมภาษณ์ Risk/Reward
- ทบทวนและประเมินว่าการเสี่ยงที่ต้องการรับมา สอดคล้องกับผลตอบแทนที่คาดหวังหรือไม่
- การประเมินนี้ช่วยในการปรับแผนการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การวิเคราะห์การกระจายความเสี่ยง (Diversification)
- การลงทุนในหลายๆ ประเภทสินทรัพย์ เพื่อกระจายความเสี่ยง
- เช่น การลงทุนทั้งในหุ้น, พันธบัตร, และทรัพย์สินอื่น ๆ
การทบทวนและปรับปรุงแผน
- สำหรับนักลงทุนระยะยาว ควรมีการทบทวนแผนการลงทุนเป็นประจำ เพื่อวิเคราะห์ผลการลงทุน และปรับแผนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด