Scalping ในการเทรด คืออะไร
Scalping คือ กลยุทธ์การเทรดที่มุ่งหากำไรจากความผันผวนราคาในระยะสั้น ๆ โดยมีจุดประสงค์ในการเก็งกำไรจากความแตกต่างราคาที่เล็กน้อย แต่ยังคงมุ่งเน้นที่จะทำการเทรดอย่างถี่ขึ้น นักเทรดที่ยึดถือกลยุทธ์นี้มักจะเรียกว่า Scalper และอาศัย Indicator ต่าง ๆ เช่น Bollinger Bands หรือ Price Action เพื่อช่วยในการตัดสินใจ
ที่สำคัญ Scalping ต้องการการปฏิบัติที่รวดเร็ว โดยส่วนใหญ่นักเทรดจะตัดสินใจซื้อหรือขายและปิดตำแหน่งภายในระยะเวลาที่สั้นมาก เช่น ไม่กี่นาที หรือไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ Scalping ถูกพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Day Trading อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Scalper แตกต่างจาก Day Trader คือปริมาณการทำรายการ ที่สูงขึ้น ซึ่ง Day Trader อาจเทรดเพียง 1-2 ครั้งในวัน แต่ Scalper อาจทำรายการเทรดหลายสิบครั้งแต่ละวัน
ในขณะที่ Day Trader มุ่งหา Risk/Reward ที่มีค่า และอาจสร้างกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะที่กว้างขึ้น เช่น การเคลื่อนไหว 30 Pips จากกรอบ 100 Pips ของความผันผวนรายวัน Scalper จะมุ่งหาการเคลื่อนไหวที่เล็กกว่าแต่ประจำ คือ การเก็บกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาในระดับ 5-10 Pips ทำให้การเทรดแบบ Scalping ต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็วและความสามารถในการรับรู้ต่อสภาพตลาดในขณะนั้น เพื่อรองรับความเร็วและความราบรื่นของการเทรด Scalper จำเป็นต้องมีโบรกเกอร์ที่มีความเร็วในการประมวลผลรายการ เพราะการเลื่อนลอยที่เกิดขึ้นภายในเวลาสั้น ๆ อาจส่งผลกระทบต่อกำไร รวมถึงมีระบบและเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยเตือนและสนับสนุนการตัดสินใจ
การเทรดแบบ Scalping ต้องการทักษะความสามารถในการวิเคราะห์ตลาด และยังต้องรู้จักวิธีการจัดการกับความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องการปรับตัวตามสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
คำสำคัญของการเทรดแบบ Scalping
สิ่งสำคัญในการเทรดสินทรัพย์ทุกประเภท คือต้องรู้ก่อนว่าการเทรดแบบ Scalping นั้น อธิบายในภาษาที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด คือ กลยุทธ์การเทรดที่เน้นการเก็งกำไรในระยะเวลาสั้นมากๆ โดยขึ้นอยู่กับความถนัดและบุคลิกภาพของแต่ละคนในการเลือกรูปแบบการเทรดที่เหมาะกับตนเอง หากเป็นคนที่ไม่ต้องการที่จะพกภาระความกังวลจากการถือ Position ข้ามคืน และชอบการตัดสินใจในระยะสั้น และสามารถตอบสนองกับความผันผวนของตลาดได้รวดเร็ว การเทรดแบบ Scalping อาจเป็นตัวเลือกที่ดี
แต่สำหรับคนที่เน้นการวิเคราะห์ในระยะยาว ชอบการวางแผนและตั้งเป้าหมายระยะยาว และสามารถทนต่อความไม่แน่นอนในระยะสั้น รูปแบบการเทรดอื่น ๆ เช่น Swing Trading อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีขึ้น
การตัดสินใจเลือกวิธีการเทรด ควรพิจารณาจากตนเองว่ามีบุคลิกภาพแบบไหน ระดับความสบายใจกับความเสี่ยงอย่างไร และที่สำคัญต้องรู้ว่าวิธีการเทรดใดที่ทำให้ได้ผลที่สุด เพื่อสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทดลองกลยุทธ์ต่าง ๆ ก็เป็นวิธีที่ดีในการค้นหาแนวทางที่เหมาะสม แต่ไม่ว่าจะเทรดแบบไหน การศึกษาและเรียนรู้เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย
การเทรดแบบ Scalping มีคำสำคัญและแนวคิด ดังนี้
- เวลาสั้น: Scalpers มักเทรดในระยะเวลาสั้นมากๆ เช่น นาที หรือไม่กี่ชั่วโมง และปิด Position ภายในวันเดียว
- ปริมาณซื้อขายสูง: เนื่องจากมุ่งเน้นเก็งกำไรในส่วนต่างราคาที่เล็กน้อย ซึ่งทำให้ Scalpers ต้องเปิด-ปิด Position หลายครั้งในวันเดียว
- Liquidity: ความถนัดหรือความง่ายในการซื้อ-ขาย สำหรับ Scalpers ต้องการตลาดที่มี Liquidity สูงเพื่อที่จะเข้า-ออก Position ได้รวดเร็ว
- Volatility: การผันผวนของราคา เนื่องจาก Scalpers จะใช้ประโยชน์จากความผันผวนเหล่านี้ในการเก็งกำไร
- Spread: ความต่างระหว่างราคา Bid และ Ask สำหรับ Scalpers ควรจะมองหาสินทรัพย์ที่มี Spread ที่แคบ เพื่อลดต้นทุน
- Leverage: การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุน สำหรับ Scalpers การใช้ Leverage สามารถเพิ่มกำไร แต่เสี่ยงที่จะเกิดขาดทุนมากขึ้น
- ระบบการเทรด: เนื่องจาก Scalpers มักจะทำธุรกรรมหลายครั้งในวันเดียว ระบบการเทรดที่อัตโนมัติ (Automated Trading System) มักจะเป็นที่นิยม
- แพลตฟอร์มการเทรด: การมีแพลตฟอร์มที่รวดเร็ว มีความเสถียร และไม่มี slippage สำคัญสำหรับ Scalpers
- Broker: เนื่องจาก Scalping มักจะเป็นการซื้อขายในปริมาณสูง ดังนั้นการเลือก Broker ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ และให้บริการดีเป็นสิ่งสำคัญ
- กรอบเวลา (Time Frame): Scalpers มักจะมองกราฟใน Time Frame ที่สั้น เช่น 1 นาที, 5 นาทีหรือ 15 นาที
สิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องรู้ก่อนการทำ Scalping
การทำ Scalping เป็นวิธีการเทรดที่นิยมในวงการ Forex โดยมุ่งหวังเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ กำไรที่ Scalpers สามารถทำได้จากการเปิดปิดตำแหน่งอยู่ในระดับไม่กี่ pip ที่ระบุไว้ ระหว่าง 1-15 pip ในแต่ละครั้ง ทำให้การเทรดแบบนี้ต้องพึ่งพาความถี่ในการทำกำไรมากกว่าการเทรดแบบอื่น ๆ
Scalpers มักจะใช้ Time Frame ที่สั้นมาก เนื่องจากต้องตัดสินใจในเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งการเลือก Time Frame ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับการพัฒนาของเทคโนโลยี ในอดีต อาจจะมีการเลือก Time Frame 1 นาที แต่ในปัจจุบันบาง Broker ใหญ่ เช่น FXCM ได้เริ่มมีบริการ Time Frame ที่เร็วยิ่งขึ้นเป็นวินาที ทำให้ Scalpers สามารถปรับใช้เทคนิคในการเทรดได้ยิ่งขึ้น
แม้ว่าการทำ Scalping จะเป็นวิธีการเทรดที่นิยม แต่มันก็มีความเสี่ยงของมันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตลาดมีการแกว่งหรือมีเทรนด์ที่รุนแรง การต่อสู้หรือฝืนต่อเทรนด์หลักในขณะที่ Scalping สามารถเพิ่มความเสี่ยงได้ ดังนั้น นักเทรดควรระวังและพยายามซื้อหรือขายตามเทรนด์ โดยรอเก็บกำไรในระดับที่เหมาะสม
อย่าลืมว่า Scalping ต้องการความเร็วและการตัดสินใจที่แม่นยำ จึงมีการพัฒนาระบบการเทรดอัตโนมัติ หรือ EA (Expert Advisor) เพื่อช่วยในการเทรดแทน ทำให้นักเทรดสามารถปรับแต่งเทคนิคของตนเองและปล่อยให้ระบบเทรดอัตโนมัติทำงาน
อย่างไรก็ตาม การทำ Scalping บางครั้งอาจจะถูกจำกัดโดยบางโบรกเกอร์ เนื่องจากการทำ Scalping สามารถส่งผลกระทบต่อระบบการเทรดของพวกเขาได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบัญชีและโบรกเกอร์นั้น ๆ ดังนั้น ผู้ที่สนใจในการทำ Scalping ควรตรวจสอบเงื่อนไขของโบรกเกอร์ก่อนที่จะเริ่มเทรด เพื่อผลประโยชน์ของตัวเทรดเดอร์เอง
ตัวอย่างกลยุทธ์ การทำ Scalping โดยใช้ Indicator EMA
- ถ้าราคาได้มีการทะลุเส้น EMA ขึ้นไป ในตลาดที่เป็นขาลง เตรียมตัวในการเข้า Sell
- ถ้าราคาได้มีการทะลุเส้น EMA ลงมา ในตลาดที่เป็นขาขึ้น เตรียมตัวในการเข้า Buy
เทคนิคของการเทรด Scalping
การเทรด Scalping เป็นวิธีการเทรดที่ต้องการความรวดเร็วและมีวินัยสูง นี่คือข้อสำคัญในการเทรดแบบ Scalping
- เข้าและออกอย่างรวดเร็ว: ปิดตำแหน่งเร็วเมื่อได้กำไรแม้แต่เล็กน้อย เพื่อประสิทธิภาพในการเก็บกำไรแบบรายย่อยแต่บ่อยครั้ง
- การกำหนด Risk/Reward: อัตราการรับความเสี่ยงต่อกำไรควรประมาณ 1:1 และควรตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่าจะปิดตำแหน่งหรือตัดขาดทุนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง
- สัดส่วนการชนะ: การเทรด Scalping ต้องมีสัดส่วนการชนะที่สูง ทำให้การเทรดมีความคุ้มค่า ความถูกต้องควรสูงกว่าความผิดอย่างน้อย 2:1
- การตัดขาดทุน: มีวินัยสูงในการตัดขาดทุน เมื่อตรวจสอบว่าตำแหน่งเป็นขาดทุน อย่ารอให้มันลดลงมากเกินไปจนเกินกว่าที่วางแผนไว้
- จำนวนการเทรด: ฝึกใจให้พร้อมในการเทรดจำนวนมาก การเทรด Scalping อาจต้องทำหลายรอบในหนึ่งวัน วันละสิบรอบถึงหลักร้อยรอบ
- การเทรดแบบ Scalping ไม่เหมาะสมกับทุกคน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่มีความตั้งใจ มีความเรียบร้อย และพร้อมเผชิญกับความเร็วของตลาด การเทรด Scalping อาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณได้เช่นกัน
หลักการ Scalping ในการเทรดเพื่อสร้างกำไร
การเทรดแบบ Scalping เป็นวิธีการเทรดที่ต้องการความรวดเร็วและมีการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ในการเทรดแบบนี้มีข้อหลักๆที่สำคัญที่ต้องใส่ใจ ดังนี้
ค่าสเปรด (Spread)
- เนื่องจาก Scalping มักจะทำธุรกรรมในระยะที่แคบอยู่ระหว่าง 5-20 pip ค่าสเปรดจึงมีความสำคัญมาก ไม่ควรปล่อยให้ค่าสเปรดสูงจนเกินไป เนื่องจากมันจะกระทบต่อกำไรที่คาดหวังได้ในแต่ละการเทรด
เงื่อนไขของโบรกเกอร์
- ไม่ทุกโบรกเกอร์ที่อนุญาตให้เทรดแบบ Scalping หรือบางโบรกเกอร์อาจจะมีเงื่อนไขเฉพาะเจาะจง หากต้องการเทรดแบบ Scalping ควรทำความเข้าใจและศึกษาเงื่อนไขของแต่ละโบรกเกอร์ก่อนที่จะเริ่มต้นเทรด
การฝึกฝนกับบัญชี Demo
- การเทรด Scalping ต้องการความชำนาญและปฏิบัติอย่างรวดเร็ว การฝึกฝนด้วยบัญชี Demo สามารถช่วยให้เทรดเดอร์มีประสบการณ์และปรับตัวกับสภาวะตลาด รวมถึงทดสอบแผนการเทรดก่อนนำไปใช้กับเงินจริง
ความเครียดในการเทรด
- เนื่องจากต้องตัดสินใจและปฏิบัติอย่างรวดเร็ว การเทรด Scalping สามารถสร้างความเครียดขึ้นมาได้ ควรมีวิธีการจัดการกับความเครียดและไม่ให้มันกระทบต่อการตัดสินใจในการเทรด
การเทรดแบบ Scalping สำหรับกองทุนและ Proprietary Traders
- เรื่องของ Spread สำคัญมากสำหรับ Scalpers กองทุนใหญ่และ Proprietary Traders มีการซื้อขายปริมาณมาก และอาจมีอำนาจในการต่อรองเรื่องค่าสเปรด สำหรับเทรดเดอร์ประจำ ควรตรวจสอบโบรกเกอร์ที่ใช้ เพื่อให้แน่ใจว่า Scalping เป็นไปได้และมีอัตราค่าบริการที่ยอมรับได้
เครื่องมือและเทคโนโลยี
- เนื่องจากความเร็วในการตัดสินใจและปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ Scalping การมีเครื่องมือที่เหมาะสม เช่น เพลตฟอร์มการเทรดที่มีความเร็ว การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารแบบ real-time และการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุน Scalpers
การจัดการเงิน
- แม้ว่า Scalping จะมุ่งหวังกำไรในระยะสั้น แต่การจัดการเงินและการตั้งระดับความเสี่ยงก็ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อป้องกันการสูญเสียที่อาจจะขึ้นได้ไม่คาดคิด
การติดตามข่าวและเหตุการณ์
- บางครั้งการปล่อยข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญจะมีผลต่อความผันผวนของราคา ซึ่งจะส่งผลต่อ Scalpers โดยเฉพาะ เทรดเดอร์ควรต้องระวังและเตรียมตัวสำหรับการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในตลาดเมื่อมีการปล่อยข่าว
การศึกษาต่อเนื่อง
- ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเรียนรู้และปรับปรุงทักษะของตนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับ Scalpers เพื่อให้ความรู้และทักษะของตนเป็นไปตามความเปลี่ยนแปลงของตลาด
การตั้งเป้าหมาย
- การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับการเทรด Scalping จะช่วยให้มีเป้าหมายที่ต้องการค achieve และสามารถประเมินผลประสิทธิภาพของการเทรดของตนเองได้
ข้อดีข้อเสียของการ scalping
ข้อดี
- การเทรดด้วย scalping สามารถทำให้เทรดเดอร์มีโอกาสเทรดหลายรอบในเวลาสั้นๆ โดยไม่ต้องรอในระยะยาว และเน้นเฉพาะการตามติดเคลื่อนไหวราคาในระยะสั้น
- ทำให้เทรดเดอร์สามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวราคาที่เกิดขึ้นภายในวันเดียว
- การถือ position ในระยะสั้นหมายความว่าเทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องเสียค่าเงินตามเวลาหรือเสี่ยงจากข่าวสารในระยะยาว
ข้อเสีย
- ยิ่งเทรดเปิด/ปิด position บ่อยๆ ค่า commission หรือ spread จากโบรกเกอร์ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะสำหรับเทรดเดอร์ที่เทรดจำนวนมาก
- การ scalping ต้องการการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรวดเร็ว
- การประกาศข่าวหรือเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อตลาดสามารถทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ scalpers เสี่ยงต่อการเสียกำไร หรือแม้กระทั่งขาดทุนได้