เมื่อมีสกุลเงินที่ถูกที่สุดหรือเรียกได้ว่าอ่อนค่าที่สุด ที่มักจะเกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจ เช่น ภาวะเงินเฟ้อสูง การคว่ำบาตรระหว่างประเทศ หรือความไม่มั่นคงภายในต่างๆ ซี่งกล่าวไปแล้วในบทความก่อนหน้า คราวนี้ก็มาดู “สกุลเงินที่แพงที่สุดในโลก” กันบ้าง โดยสกุลเงินที่ “แพงที่สุด” คือ มีมูลค่าสูงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD) แล้วสกุลเงินที่แพงที่สุดนั้นแสดงให้เห็นถึงอะไรบ้าง บทความนี้จะเล่าถึง “10 สกุลเงินที่แพงที่สุด” และปัจจัยที่ทำให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้นมีอะไรบ้าง

สกุลเงินที่แพงที่สุด เป็นอย่างไร

โดยแพงที่สุดจะหมายถึง สกุลเงินที่มีมูลค่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์สหรัฐ (USD) ซึ่งมักคำนวณจากอัตรา 1 หน่วยของสกุลเงินเท่ากับกี่ดอลลาร์

ตัวอย่างเช่น

1 ดีนาร์คูเวต (KWD) ของประเทศคูเวต แลกได้ถึง 3.26 USD

1 ดีนาร์บาห์เรน (BHD) ของประเทศบาห์เรน แลกได้ถึง 2.66 USD

จะเห็นได้ว่าเงิน 1 หน่วยของสกุลเงินที่แพงนั้น แลกได้มากกว่า 1 USD เลยทีเดียว

ปัจจัยที่ทำให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น มีอะไรบ้าง

1.) เศรษฐกิจเติบโตแข็งแกร่ง

  • เช่น มี GDP เติบโตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

2.) อัตราดอกเบี้ยสูง

  • เมื่อมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนมักเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ของประเทศนั้น เช่น ดูง่ายๆอย่างพันธบัตร เพราะเมื่อผลตอบแทนสูงขึ้น(ดอกเบี้ยสูงขึ้น) ก่อให้เกิดเงินทุนไหลเข้านั่นเอง

3.) ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล

  • ประเทศมีการส่งออกมากกว่านำเข้า เงินตราต่างประเทศไหลเข้ามากกว่า เป็นต้น

4.) ความเชื่อมั่นในเสถียรภาพการเมือง-เศรษฐกิจ

  • นักลงทุนเชื่อมั่นว่าประเทศนั้นมีรัฐบาลที่มั่นคง มีความโปร่งใส หรือมีกฎหมายคุ้มครองการลงทุน

5.) เงินเฟ้อต่ำ

  • เงินเฟ้อต่ำทำให้มูลค่าเงินไม่เสื่อมเร็ว สะท้อนเรื่องความสามารถในการควบคุมบริหารต้นทุนและราคาสินค้าได้ เมื่อราคาสินค้าไม่แพงเกินไป ก็มีการจับจ่ายใช้สอยมาก ส่งผลให้ธุรกิจมีกำไร และเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนนั่นเอง

6.) การเก็งกำไรในตลาดการเงิน

  • หากตลาดคาดการณ์ว่าเงินสกุลใดจะแข็งค่าในอนาคต นักเทรด Forex จะซื้อเงินสกุลนั้นไว้ล่วงหน้า เมื่อความต้องการเพิ่ม จะส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

10 สกุลเงินที่แพงที่สุดในโลก (เทียบต่อ 1 USD) ได้แก่ (ข้อมูล 18 มิ.ย. 2025)

1.) ดีนาร์คูเวต (KWD) ประเทศคูเวต 1 KWD/3.26 USD

  • หนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกจากการครอบครองทรัพยากรน้ำมัน โดยมีการขุดพบน้ำมันครั้งแรกตั้งแต่ปี 1938 และต่อมาได้กลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก อีกทั้งเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC)

2.) ดีนาร์บาห์เรน (BHD) ราชอาณาจักรบาห์เรน 1 BHD/2.66 USD

  • เป็นเกาะในอ่าวเปอร์เซียโดยมีสะพานเชื่อมต่อกับซาอุดิอาระเบีย เศรษฐกิจของประเทศพึ่งพาการส่งออกน้ำมันและไข่มุก

3.) เรียลโอมาน (OMR) ประเทศโอมาน 1 OMR/2.6 USD

  • อีกหนึ่งประเทศที่พึ่งพาการผลิตและส่งออกน้ำมัน โดยส่งออกน้ำมันเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 1967 ซึ่งมีรายได้หลักถึงเกือบ 80% ของรายได้รัฐบาล

4.) ดีนาร์จอร์แดน (JOD) ประเทศจอร์แดน 1 JOD/1.41 USD

  • แม้จะเป็นประเทศที่ไม่มีน้ำมัน อีกทั้งตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งทางการเมือง ความมั่นคง และศาสนาอย่างต่อเนื่องของประเทศโดยรอบ (ทิศเหนือ ติดกับซีเรีย, ทิศใต้ ติดกับซาอุดีอาระเบีย, ทิศตะวันออก ติดกับซาอุดีอาระเบียและอิรัก, ทิศตะวันตก ติดกับอิสราเอล) แต่ก็มีสกุลเงินที่แข็งแกร่งเนื่องจากมีความมั่นคงทางการเมืองและมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายในประเทศค่อนข้างสูง โดยเป็นผู้ส่งออกฟอสเฟตใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งนำไปทำปุ๋ย, ยา, อาหารเสริม, อาหารสัตว์ เป็นต้น

5.) ปอนด์สเตอร์ลิง (อังกฤษ) (GBP) สหราชอาณาจักรอังกฤษ 1 GBP/1.35 USD

  • เป็นสกุลเงินที่เก่าแก่ที่สุดในโลกของประเทศที่เคยเป็นมหาอำนาจแห่งหนึ่ง จากประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และมี GDP เป็นอันดับที่ 6 ของโลก

6.) ปอนด์ยิบรอลตาร์ (GIP) ประเทศยิบรอลตาร์ 1 GIP/1.35 USD

  • ดินแดนโพ้นทะเลที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ทำให้มีผลต่อค่าเงินไปด้วย ซึ่งค่าเงินของยิบรอลตาร์ผูกติดกับเงินปอนด์อังกฤษอย่างสมบูรณ์ (1 GIP = 1 GBP)

7.) ฟรังก์สวิส (CHF) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 1 CHF/1.23 USD

  • จากระบบธนาคารที่มีความน่าเชื่อถือมีความปลอดภัย และสามารถรักษาความลับทางการเงินอย่างดีถึงขั้นติดอันดับ 2 ในการจัดอันดับ The world’s biggest enablers of financial secrecy (2 มิ.ย.2025) อีกทั้งเศรษฐกิจแข็งแกร่งมากดูได้จาก GDP ต่อหัวที่สูงมากถึงประมาณ 90,000 USD หรือกว่า 2.8 ล้านบาทต่อคนเลยทีเดียว

8.) ดอลลาร์เคย์แมน (KYD) หมู่เกาะเคย์แมน 1 KYD/1.2 USD

  • เป็นดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ ที่มีข้อครหาเรื่องการซุกเงินของมหาเศรษฐีหรือฟอกเงินมากที่สุดในโลก โดยเป็นที่นิยมของนักธุรกิจทั่วโลกเพราะปลอดภาษีและเรื่องการรักษาความลับทางการเงิน จึงมีบริษัทเข้าไปจดทะเบียนจัดตั้งอยู่ที่เกาะแห่งนี้จำนวนมาก โดยจำนวนบริษัทมากกว่าจำนวนประชากรที่อยู่บนเกาะด้วยซ้ำ คือมีจำนวนบริษัทหลักแสนแต่ประชากรประมาณ9หมื่นคน ดังนั้นส่งผลให้ GDP ต่อหัวสูงมาก คือประมาณ 79,587 USD(Q1’2024) หรือมีรายได้กว่า 2.5 ล้านบาทต่อคน

9.) ยูโร (EUR) พื้นที่ยูโร 1 EUR/1.15 USD

  • สกุลเงินทางการของยูโรโซน ซึ่งรวมถึงประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 20 ประเทศจากทั้งหมด 27 ประเทศ ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1999 เพื่อลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในยุโรป เสริมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในสหภาพยุโรป (EU) และปัจจุบันได้กลายมาเป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก

10.) ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ประเทศสหรัฐอเมริกา

  • เป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลกและเป็นหนึ่งในสกุลเงินสำรองที่ใหญ่ที่สุด

บทสรุป

แม้ว่าสกุลเงินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกจะสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจประเทศนั้นๆได้บ้าง แต่ถ้ามองถึงการเลือกคู่เงินที่เหมาะสมในการเทรด Forex นั้น ไม่ควรดูแค่ราคาสูง-ต่ำของสกุลเงิน แต่ควรวิเคราะห์ร่วมกับ สภาพคล่อง, ความผันผวน, นโยบายดอกเบี้ย, และความเชื่อมั่นของตลาด เพื่อการวางกลยุทธ์เทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

  • https://www.xe.com
  • https://th.wikipedia.org
  • https://tradingeconomics.com/cayman-islands
  • https://fsi.taxjustice.net/#scoring_id=268