เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ทองคำคือสัญลักษณ์ของ “ความมั่งคั่ง มั่งมี” โดยเฉพาะช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เกิดความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจ ทองคำก็ได้กลายเป็นกระแสกระจายความเสี่ยงของนักลงทุน รวมไปถึงใครหลายๆคนที่หวังมีไว้ครอบครอง ทั้งราคาทองคำที่เย้ายวนใจต่อการเก็งกำไร หรือซื้อเก็บไว้ให้ลูกหลานในอนาคต แต่รู้ไหมว่าทองคำนั้นมีกี่ประเภท และราคาทองคำประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ค่ากำเหน็จ ค่าบล็อกทองคำคืออะไร บทความนี้จะเล่าให้ฟัง

ประเภทของทองคำ

ทองคำแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามลักษณะต่าง ๆ เช่น ความบริสุทธิ์ การใช้งาน และลักษณะทางกายภาพ เช่น

1.) ตามความบริสุทธิ์ของทอง

  • ทองคำบริสุทธิ์ 99.99% (ทอง 24K) คือ ไม่มีการผสมโลหะอื่น เนื้อทองจึงนิ่ม มักใช้ทำทองแท่งเพื่อการลงทุน
  • ทอง 23K (เปอร์เซ็นต์ทองประมาณ 96.5%) ร้านทองส่วนใหญ่โดยเฉพาะในประเทศไทย นิยมนำมาขึ้นรูปเป็นทองรูปพรรณขายตามหน้าร้าน
  • ทอง 18K (เปอร์เซ็นต์ทองประมาณ 75%) ผสมโลหะอื่น ๆ เช่น เงิน ทองแดง ฯลฯ เนื้อทองแข็งแรงขึ้น สีทองอ่อนลง นิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับ
  • ทอง 14K, 10K, 9K ฯลฯ ทองคำสัดส่วนต่ำลง ราคาถูกลง แข็งแรงขึ้น ทำเครื่องประดับหรือตัวเรือนเพชร พลอย เป็นต้น

2.) ตามการใช้งาน

  • ทองคำแท่ง : แบ่งเป็นทองคำแท่งหลอมด้วยวิธี Casting (Casted Gold Bar) กับ ทองแท่งปั๊มโลโก้ด้วยวิธี Stamping (Minted Gold Bar)
  • ทองรูปพรรณ : ทองคำที่นำมาขึ้นรูปเป็นรูปแบบลักษณะต่างๆ เช่น แหวน สร้อยคอ กำไล
  • ทองอุตสาหกรรม : ใช้ในอิเล็กทรอนิกส์ หรือทันตกรรม

3.) ตามลักษณะสี (จากการผสมโลหะชนิดต่างๆ)

  • ทองขาว หรือ ไวท์ โกลด์ (white gold) : เป็นโลหะผสมทองคำกับโลหะสีขาวอื่น เช่น เงิน นิกเกิล พาลาเดียม zinc ซึ่งก็มีการผสมได้หลากหลายสัดส่วนอีกเช่นกัน (18K, 14K, 9K )
  • พิงค์โกลด์ (Pink Gold) หรือ โรสโกลด์ (Rose Gold) ทองผสมกับแร่ ส่วนมากจะผสมกับอัลลอย พิ้งก์ จากอิตาลี เพื่อให้เกิดสีพิงก์โกลด์ โดยมีทองผสมอยู่ 75% (18K)

ค่ากำเหน็จ และ  ค่าบล็อก ของทองคำคืออะไร

ค่ากำเหน็จ คือ ค่าแรงหรือค่าจ้างของช่างทอง ในการผลิตขึ้นรูปจากทองคำแท่งให้กลายมาเป็นทองรูปพรรณในรูปแบบต่างๆ เช่น สร้อยคอ แหวน กำไล ต่างหู เป็นต้น

ดังนั้นราคาของค่ากำเหน็จ จึงมีความแตกต่างกันไปตามความยากง่ายของลักษณะลวดลาย และรูปทรงของทองรูปพรรณที่ทำขึ้นนั่นเอง

โดยการคิดราคาค่ากำเหน็จตามมาตรฐานของค่าแรงไทยนั้น จะคิดเป็น ราคาต่อบาททองคำ ซึ่งปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 600 – 1,200 บาท ต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท ขึ้นอยู่กับลวดลายและราคาในแต่ละร้าน

ค่าบล็อก (Block) หรือค่าพรีเมียม (Premium) คือ ค่าแรงในการผลิตทองคำแท่ง โดยการนำทองคำมาหลอมละลายแล้วเทลงไปในบล็อกแม่แบบ ให้มีรูปร่างเป็นแท่งตามบล็อก เนื่องจากมีการผลิตที่ง่ายกว่า ทำให้ค่าใช้จ่ายไม่สูงเท่าค่ากำเหน็จของทองรูปพรรณ

ค่าบล็อกแบ่งเป็น:

  • ค่าบล็อกแบบ Casting คือ การผลิตทองคำแท่งแบบน้ำหนักมากๆ และไม่มีลวดลายเยอะ เช่น ทองแท่งละ 5 บาท, 10 บาท, ไปจนถึง หนัก 50 บาท หรือไประดับแท่งละ 100 กรัม, 500 กรัม, 1 กิโลกรัม เป็นต้น
  • ค่าบล็อกแบบ Stamping คือ ทองคำแท่งแบบน้ำหนักน้อยๆ เช่น 1 กรัม, 1 สลึง, 1 บาท จะมีลวดลายหลากหลาย มีความสวยงาม เช่น ลายมังกร ลายหัวใจ ลายเทพเจ้า ลายอักษรต่างๆ โดยการผลิตหลายขั้นตอนกว่าแบบ Casting จึงมีราคาค่าบล็อกสูงกว่าไปด้วย

ค่าบล็อก จะอยู่ที่ประมาณ 100 – 400 บาท ขึ้นกับแต่ละร้าน ส่วนใหญ่ทองคำแท่งหลอม (Casted Gold Bar) หนัก 5 บาทขึ้นไป จะไม่เสียค่าบล็อก ส่วนทองคำแท่งปั๊มโลโก้ (Minted Gold Bar) จะเสียค่าบล็อกไม่ว่าซื้อทองคำหนักกี่บาทก็ตาม

ทำไมเมื่อนำทองกลับไปขาย จึงได้ราคาต่ำกว่าราคาที่เคยซื้อ

กรณีที่เราซื้อทองมาแล้ว และเราต้องการนำทองกลับไปขาย แม้ว่าจะเป็นในวันเดียวกัน โดยที่ราคาทองยังไม่ปรับราคาก็ตาม เราก็จะได้ราคาขายคืนต่ำกว่าราคาที่ซื้อ เพราะว่าไม่ได้รวมค่ากำเหน็จลงไปด้วย และยังถูกหักค่าน้ำหนักน้ำประสานทองที่เป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมรอยต่อของทองรูปพรรณ

ดังนั้นทองรูปพรรณ จึงอาจไม่เหมาะสำหรับการลงทุนเท่าไรนัก เพราะถูกหักค่าใช้จ่ายมากกว่านั่นเอง

สาระน่ารู้เพิ่มเติม

  • ทองคำขาว หรือแพลตตินัม (Platinum) 100% ไม่ใช่ทองคำ แต่เป็นแร่โลหะชนิดหนึ่งที่มีสีขาวตามธรรมชาติเป็นแร่หายากมีความเงางาม และมีความแข็งกว่าทองคำ นิยมนำไปทำแหวานเพชร เนื่องจากมีความแข็งแรงจึงทำให้ยึดเกาะกับเพชรได้ดีจึงมีราคาค่อนข้างสูง
  • นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าในแก่นโลก (the Earth’s core) มีทองคำและโลหะมีค่าเช่น รูทีเนียมอยู่มาก จากการวิเคราะห์ธาตุในหินภูเขาไฟที่ปะทุออกมาจากใต้โลก (บทความเดือนMay 2025) แต่จากเทคโนโลยีปัจจุบันยังสามารถขุดได้ลึกเพียง 12.2 กิโลเมตร (หลุมเจาะKola Superdeep ในรัสเซีย) แต่แก่นโลกนั้นคือส่วนที่ลึกที่สุดอยู่ใต้ผิวโลกถึงเกือบ 3,000 กิโลเมตร จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในการหาเทคโนโลยีขุดเจาะและรับมือกับแรงดันมหาศาลเพื่อให้ลงลึกถึงบริเวณนั้นได้

บทสรุป

ระหว่างทองคำแท่งและทองรูปพรรณ “ควรเลือกซื้อทองแบบไหนดี” คำตอบน่าจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการซื้อ คือ หากต้องการลงทุนระยะยาว ทองคำแท่งจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากมีค่าบล็อกที่ค่อนข้างต่ำ และราคาซื้อขายใกล้เคียงกับราคาตลาดทองคำปัจจุบัน แต่ถ้าต้องการซื้อเพื่อเก็บสะสมเป็นเครื่องประดับ ทองคำรูปพรรณจะตอบโจทย์กว่า เพราะสามารถเลือกรูปแบบความสวยงามตามใจชอบ อีกทั้งสามารถนำไปสวมใส่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อควรคำนึงถึงค่ากำเหน็จที่ต้องจ่ายในครั้งแรกและการประเมินราคาขายคืนในอนาคต

ขอขอบคุณข้อมูลจาก