การที่เราจะเริ่มลงทุนอะไร ก็ควรจะมีการประเมินก่อนว่าการลงทุนนั้นมีความคุ้มค่า น่าสนใจที่จะลงทุนหรือไม่ และเครื่องมือที่ใช้ประเมินเบื้องต้นตัวหนึ่งนั่นก็คือ “WACC” ซึ่งบทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมของ WACC ว่าคืออะไร และนำไปใช้ประเมินอะไรได้บ้าง
WACC คืออะไร
WACC ย่อมาจาก Weighted-Average Cost of Capital คือต้นทุนของเงินลงทุนถัวเฉลี่ย แสดงให้เห็นว่าการประกอบกิจการนี้มีต้นทุนการลงทุนเท่าไหร่
ใช้เพื่อวัดความคุ้มค่าในการลงทุน คือ เพื่อพิจารณาว่ามีผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนคุ้มค่าหรือไม่ เมื่อเทียบกับต้นทุนที่ใช้ลงทุน
- ถ้าผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ มากกว่า WACC ก็คือ คุ้มค่า น่าลงทุน
- ถ้าผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ น้อยกว่า WACC ก็คือ ไม่คุ้มค่า
WACC ใช้ทำอะไร
1.) วัดต้นทุนเฉลี่ยของเงินทุนทั้งหมด ที่บริษัทใช้ในการดำเนินธุรกิจ หรือคือผลตอบแทนที่คาดหวังจากบริษัทนั้นๆ (มุมมองของ “ผู้บริหาร”)
2.) ประเมินความคุ้มค่าของโครงการลงทุนใหม่ เช่น ถ้าอัตราผลตอบแทนจากโครงการ (IRR) มากกว่า WACC แปลว่าโครงการนั้นน่าลงทุน อาจใช้เป็นการตัดสินใจลงทุนแต่ละโครงการย่อยๆ
3.) ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการคำนวณมูลค่าบริษัท (Discounted Cash Flow – DCF) หรือประเมินมูลค่าหุ้น ซึ่งเป็นการคิดสดกระแสเงินสดในอนาคตกลับมาเป็นมูลค่าในปัจจุบันเพื่อหามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic value) ของหุ้นนั้นๆในปัจจุบัน (มุมมองของ “นักวิเคราะห์” หรือ “นักลงทุน”)
โครงสร้างของเงินลงทุนหรือต้นทุนเงินลงทุน คืออะไร
โดยทั่วไปโครงสร้างของเงินลงทุนจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักก็คือ
1.) ต้นทุนเงินทุนจากเจ้าของ หรือ ผลตอบแทนที่คาดหวังของเจ้าของ (e = Equity)
2.) ต้นทุนหนี้สินจากการกู้ยืม หรือ ดอกเบี้ยจากการกู้ยืม (d = Debt)
สูตรการคำนวณ WACC (แบบเข้าใจง่าย)
WACC = [We*Ke] + [Wd*Kd *(1-T)]
หรือก็คือ
WACC = (น้ำหนักส่วนของผู้ถือหุ้น*ผลตอบแทนคาดหวังของเจ้าของ) + (น้ำหนักหนี้*ต้นทุนหนี้ * (1 – อัตราภาษี))
- We มาจาก ส่วนของผู้ถือหุ้น / (ส่วนของผู้ถือหุ้น+หนี้สินที่มีดอกเบี้ย)
- Ke คือ ผลตอบแทนคาดหวังของเจ้าของ
- Wd มาจาก หนี้สินที่มีดอกเบี้ย / (ส่วนของผู้ถือหุ้น+หนี้สินที่มีดอกเบี้ย)
- Kd คือ ต้นทุนหนี้สินจากการกู้ยืม
- T คือ ภาษีนิติบุคคล ซึ่งจะแตกต่างออกไปตามแต่ละประเทศ (ประเทศไทยจะอยู่ที่ร้อยละ 20)
- ต้นทุนหนี้สินมาคำนวณกับ 1-อัตราภาษี เพราะดอกเบี้ยเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการได้ ส่วนนี้เสมือนเป็นส่วนลดในการเสียภาษี (ค่าใช้จ่ายเพิ่มจากดอกเบี้ย = กำไรน้อยลง = เสียภาษีนิติบุคคลน้อยลง)
ตัวอย่างของการคิด WACC
สมมติว่าเราต้องการลงทุนโครงสร้างหนึ่งด้วยจำนวนเงิน 1,000,000 บาท โดยเราจะใช้เงินจากการกู้ยืม 400,000 บาท โดยมีภาระดอกเบี้ยเท่ากับ 10% ต่อปี และใช้เงินจากเจ้าของอีก 600,000 บาท ซึ่งเจ้าของต้องการผลตอบแทนที่ 20% ต่อปี กำหนดให้ภาษีนิติบุคคลเท่ากับ 20%
WACC = [(600,000/1,000,000) x (20%)] + [(400,000/1,000,000) x (10%) x (1-20%)]
= 15.2%
จากตัวอย่าง ถ้าการลงทุนนี้สร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 15.2% แสดงว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ น่าลงทุนนั่นเอง
ทั้งนี้ยังมีการคำนวณ CAPM (Capital Asset Pricing Model) เพื่อหาค่า Ke โดยละเอียดดังนี้
Ke = Rf + β*(Rm-Rf)
- Ke = Cost of Equity หรือผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นคาดหวัง
- Rf = อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ปลอดความเสี่ยง (Risk-free rate) เช่น พันธบัตรรัฐบาล
- Rm = อัตราผลตอบแทนของตลาดหุ้น (Market return) โดยนับตั้งแต่เปิดตลาดมา
- β = ค่าเบต้า (Beta) ของหุ้น คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นเทียบกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีเป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงของหุ้นเทียบกับตลาดรวม หากค่าเบต้ามากกว่า 1 คือเมื่อดัชนีเพิ่ม หุ้นตัวนั้นจะเพิ่มมากกว่า หากดัชนีลด หุ้นตัวนั้นก็จะลดมากกว่า และหากค่าเบต้าน้อยกว่า 1 คือเมื่อดัชนีเพิ่ม หุ้นตัวนั้นจะเพิ่มน้อยกว่า หากดัชนีลด หุ้นตัวนั้นก็จะลดน้อยกว่า (หาค่า Beta ได้จากหน้าของหุ้นตัวนั้นๆ ใน or.th )
- Rm-Rf = Market Risk Premium หรือส่วนเพิ่มผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวังเมื่อรับความเสี่ยงจากตลาด
เหตุใด WACC จึงสำคัญ?
WACC นอกเหนือจากการใช้เพื่อวัดความคุ้มค่าในการลงทุนหรือประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัท ตามที่กล่าวแล้วนั้น ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณามูลค่าองค์กร หรือการสมัครขอสินเชื่อ การประเมินผลการดำเนินงานขององค์กร ดังนั้นแต่ละบริษัทมักจะพยายามหาวิธีลด WACC ของตนเองเพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกกว่า เช่น การออกพันธบัตรอาจน่าสนใจกว่าการออกหุ้นหากอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนที่ต้องการจากหุ้น เป็นต้น
ข้อควรรู้เพิ่มเติมคือ WACC ก็จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม และส่วนใหญ่บริษัทที่อายุน้อยมักจะมี WACC สูงกว่าเนื่องจากมีความเสี่ยงมากกว่าและต้องดึงดูดการลงทุนหรือก่อหนี้ด้วยต้นทุนที่สูงกว่า
บทสรุป
แม้ว่าค่า WACC ต่ำๆคือดี เพราะแปลว่ากิจการมีต้นทุนเงินทุนที่ต่ำ มีความปลอดภัยต่อการลงทุนมากกว่า แต่การดู WACC อย่างเดียวไม่สามารถบอกได้ว่าดีหรือไม่ดี ต้องดูควบคู่กับอัตราผลตอบแทนเสมอ เพราะหากค่า WACC ที่เราคำนวณได้นั้นน้อยมาก แต่มันยังมากกว่าค่าอัตราผลตอบแทน แบบนี้ก็ถือเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า ทั้งนี้ควรต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆควบคู่ไปด้วย เช่น ด้านการเงิน กลยุทธ์ การตลาด ความเสี่ยงอื่นๆ เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
- https://www.moneybuffalo.in.th/vocabulary/what-is-wacc
- https://www.investopedia.com/