ทองคำแสดงถึงความมั่งคั่ง โดยเฉพาะประเทศใดที่มีเหมืองทองคำของตัวเอง จะช่วยสร้างรายได้จากการส่งออกทองคำไปต่างประเทศ สร้างงานในท้องถิ่นด้วยการจ้างงานทั้งในเหมืองและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจเพราะทองคำสามารถนำมาใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศได้ ทั้งยังช่วยสร้างความมั่นคงเมื่อเกิดวิกฤตต่างๆ แล้วรู้หรือไม่ว่าประเทศไทยเราก็มีเหมืองทองคำของตัวเอง ประวัติความเป็นมาเป็นอย่างไร และเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจไทยอย่างไร บทความนี้จะเล่าให้ฟัง

ประวัติเหมืองทองคำอัครา

เหมืองทองอัครา หรือ เหมืองทองคำชาตรี ถูกสำรวจครั้งแรกในปี 2530 โดย บริษัท อัครา ไมนิ่ง จำกัด หลายปีต่อมาหลังจากสำรวจพบสินแร่ทองคำกว่า 14 ล้านตัน บริษัทประเมินว่ามีความคุ้มค่าในการทำเหมืองเชิงพาณิชย์ จึงเริ่มขอใบประทานบัตรทำเหมือง และเปิดเป็นเหมืองในเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2544 ก่อนผลิตทองคำครั้งแรกในเดือน พ.ย. 2544 ภายหลัง บริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด(มหาชน) (Akara Resources Public Company Limited)

ที่มาของชื่อ “เหมืองแร่ทองคำชาตรี” ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ นายชาตรี ชัยชนะพูลผล นักธรณีวิทยารุ่นบุกเบิก ผู้มีบทบาทสำคัญในการค้นพบแหล่งแร่

ปัจจุบันเหมืองทองอัครากลายเป็นเหมืองแร่ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีพื้นที่เหมืองครอบคลุมรอยต่อ 3 จังหวัด คือ พิจิตร เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สามารถเดินเครื่องกำลังผลิตทองคำประมาณปีละ 5.5 ล้านตันสินแร่ และมีรายได้รวมกว่า 8 พันล้านบาท (ปี 2567)

แม้ประเทศไทยจะมีแหล่งแร่ทองคำในหลายพื้นที่ แต่ส่วนมากอยู่ในขั้นตอนการสำรวจ หรือรอขออนุมัติ หรือได้รับการชะลอจากภาครัฐจากปัญหาสิ่งแวดล้อมและชุมชน หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาตต่ออายุประกอบกิจการเหมือง จึงทำให้เหมืองทองอัครา เป็นแหล่งแร่ทองคำแหล่งเดียวในไทยที่ยังดำเนินการอยู่

ข้อพิพาทเหมืองทองอัครา

เครือข่ายประชาชนและชาวบ้านรวมตัวกันไปยื่นหนังสือร้องเรียนกับสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าเหมืองทองก่อมลพิษต่อพื้นที่ทำการเกษตรและปศุสัตว์ เนื่องจากตรวจพบค่าแมงกานีสสูงผิดปกติในบ่อบาดาล และระบบประปาหมู่บ้านหนองระมาน จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งอยู่ติดกับบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 (TSF1) ของเหมืองทองคำ และผลจากการตรวจร่างกายชาวบ้านรอบเหมือง พบสารหนูและแมงกานีสในเลือดสูงกว่าค่ามาตรฐาน

ทำให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงนามในคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 72/2559 เรื่องการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคํา ซึ่งมีสาระสำคัญ คือการระงับการอนุญาตให้สำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ จึงส่งผลต่อการปิดเหมืองทองอัคราในวันที่ 1 ม.ค. 2560

ต่อมาวันที่ 2 พ.ค. 2560 บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดทเต็ด ลิมิเต็ด (Kingsgate Consolidated Limited) บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ฟ้องร้องต่ออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศเรียกร้องให้รัฐบาลไทยชดเชยค่าเสียหายกว่า 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งปิดเหมืองโดยมิชอบด้วยกฎหมายของรัฐบาลไทย และเป็นคำสั่งที่ละเมิดข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย

หลังจากนั้นมีกระบวนการไกล่เกลี่ยหลายครั้ง ซึ่งในระหว่างปี 2563-2564 รัฐบาลได้อนุญาตอาชญาบัตรพิเศษเพื่อสำรวจแร่ทองคำเพิ่มอีกเกือบ 4 แสนไร่ (สิทธิในการสำรวจ ยังไม่ใช่การอนุญาตให้ทำเหมือง ถ้าพบว่ามีแร่จึงค่อยมาขอประทานบัตร) รวมถึงแหล่งสุวรรณ–โชคดี ที่ยังอยู่ในข้อถกเถียง อีกทั้งได้รับต่ออายุประทานบัตร 4 แปลงไปอีก 10 ปี (ถึงปี 2574) และสุดท้ายเหมืองอัคราได้มีการเปิดเหมืองขึ้นใหม่อีกครั้งในเดือน มี.ค. 2566 ท่ามกลางคำถามถึงความชอบธรรมเกี่ยวกับอาชญาบัตรพิเศษดังกล่าว รวมไปถึงบางคดีที่เป็นผลกระทบต่อชุมชนยังอยู่ในขั้นพิจารณาของศาลปกครอง

วิธีการทำเหมืองแร่ ส่งผลกระทบกับชุมชนอย่างไร

  • กระบวนการสกัดทองจะใช้สารไซยาไนด์ (Cyanide) ซึ่งเป็นสารเคมีอันตราย หากรั่วไหลลงสู่แม่น้ำหรือลำคลอง จะเป็นพิษต่อสัตว์น้ำและคน ส่วนน้ำฝนที่ชะล้างหินจากกองแร่ อาจทำให้เกิด น้ำกรดจากเหมือง ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนและปนเปื้อนโลหะหนัก
  • กรรมวิธีทำเหมืองแร่เป็นแบบเหมืองเปิด (Open-pit Mining) คือการขุดเป็นบ่อเหมืองลึกลงไปจากผิวดิน ข้อดีของวิธีนี้คือ มีต้นทุนต่ำ เข้าถึงแร่ได้ง่าย และใช้พื้นที่ทั้งหมดได้อย่างคุ้มค่า ส่วนข้อเสียคือ จะส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมมาก เพราะต้องตัดต้นไม้ ถางป่า ขุดเขาหรือระเบิดหิน ซึ่งทำให้ทั้งสูญเสียระบบนิเวศ กระทบต่อที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ทั้งมีมลพิษทางเสียงต่อชุมชนโดยรอบ และยังมีฝุ่นละอองจำนวนมากปกคลุมพื้นที่
  • สภาพดินและหินหลังทำเหมืองแล้วเสร็จนั้น มักทำประโยชน์ใดต่อไม่ได้ ดินจะไม่มีสารอาหารกลายเป็นที่ดินเสื่อมโทรม กองหินและดินเหล่านี้เมื่อแห้งสามารถฟุ้งกระจายเป็นฝุ่นขนาดเล็กได้ (PM5) ยิ่งถ้าฝุ่นมีโลหะหนักก็เป็นอันตรายต่อคนในละแวกนั้นด้วย

ประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทยที่ได้รับจากเหมืองอัครา

1.) รายได้จากค่าภาคหลวงและภาษี

  • มีการจ่ายค่าภาคหลวงแร่แล้วกว่า 1,438 ล้านบาท, เงินสมทบเข้ากองทุนเพื่อพัฒนาชุมชนในมิติต่างๆ รวมทั้งสุขภาพของประชาชน 302 ล้านบาท (มี.ค. 2566-พ.ค.2568) สนับสนุนภาคธุรกิจในประเทศ 2,700 ล้านบาทต่อปี

2.) การจ้างงาน รายได้สู่ชุมชน และบริษัทที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย

  • มีการจ้างแรงงานกว่า 1,000 คน ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่ถึง 90%
  • มีการจ้างงานทางอ้อมในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ขนส่ง อาหาร อุปกรณ์ วิศวกรรม
  • ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น เช่น ร้านค้า โรงแรม รถเช่า
  • เชื่อมต่อสายการผลิตเป็นห่วงโซ่อุปทานทองคำของไทยตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติ คือต้นน้ำเป็นบริษัท อัครา ขุดแร่ ผลิตทองคำในรูปแบบแท่งโดเร่ แล้วส่งต่อให้กลางน้ำคือ บริษัท รีฟายนิ่งโลหะมีค่า จำกัด (PMR) เพื่อถลุงทองคำ แล้วจึงส่งต่อให้ปลายน้ำคือ บริษัท ออสสิริส จำกัด ผู้สร้างสรรค์ทองคำรูปพรรณและชิ้นงาน
  • เป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของ จ.พิจิตร โดยใช้ไฟสูงถึงประมาณ 40 ล้านบาทต่อเดือน และเป็นผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ของ จ.พิจิตรและ เพชรบูรณ์ จ่ายค่าน้ำมันประมาณ 50 ล้านบาทต่อเดือน

3.) การลงทุนและถ่ายทอดเทคโนโลยี

  • การถ่ายทอดเทคโนโลยีการทำเหมือง การแปรรูปแร่ ความรู้ด้านวิศวกรรม และความปลอดภัย

4.) การส่งออกทองคำและเงิน

  • มีการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2567 มีมูลค่า 16,49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 3 คิดเป็นสัดส่วน 6.14% ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย

บทสรุป

แม้ว่าเหมืองทองคำอัคราจะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจของไทย จากค่าภาคหลวง ภาษี รายได้ให้ชุมชน และการส่งออกก็ตาม แต่ความสำเร็จทางเศรษฐกิจควรดำเนินควบคู่กับการจัดการผลกระทบสิ่งแวดล้อม ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อให้เกิด “สมดุลระหว่างเศรษฐกิจ–สิ่งแวดล้อม–ประชาชน” อย่างยั่งยืน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

  • https://akararesources.com/
  • https://www.thaipbs.or.th/news/content/331511
  • YouTube: Ejan
  • https://datawarehouse.dbd.go.th/company/profile/