ทำความรู้จักกับ Base Currency
ในโลกของการเทรด Forex การเข้าใจความหมายของ “Base currency” นั้นมีความสำคัญมาก ศูนย์กลางของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา คือ การเทรดคู่เงิน คู่เงินประกอบด้วยสกุลเงินสองตัว และการวางpositionของสกุลเงินเหล่านี้ในคู่จะกำหนดว่าเป็น “Base currency” หรือ “Quote currency”
โลกของการเทรด Forex และความหมายของ “Base currency” มีคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
- Forex คือ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา ตลาดที่ผู้เทรด (traders) ซื้อขายสกุลเงินต่างๆ เพื่อทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน
- คู่เงิน (Currency Pair) คือ การเทรดในตลาด Forex ไม่ได้เกิดขึ้นโดยการซื้อขายสกุลเงินเดียวๆ แต่จะเป็นการซื้อขายคู่เงิน ซึ่งประกอบด้วยสกุลเงินสองตัว เช่น EUR/USD, GBP/JPY ฯลฯ
- สกุลเงินหลัก (Base currency) คือ สกุลเงินหลักคือสกุลเงินตัวแรกในคู่เงิน และเป็นตัวที่ใช้อ้างอิงการซื้อขาย เมื่อพูดว่า “ซื้อ EUR/USD” หมายความว่าคุณกำลังซื้อสกุลเงิน EUR ด้วยการขายสกุลเงิน USD
- สกุลเงินประกอบ (Quote currency) คือ สกุลเงินตัวที่สองในคู่ และเป็นตัวที่ใช้เพื่อกำหนดราคาหรือค่าของสกุลเงินหลัก ในตัวอย่างของ EUR/USD, USD คือ “สกุลเงินประกอบ” หรือ “Quote currency”
การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “Base currency” และ “component currency” นั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการเทรด Forex เนื่องจากการตัดสินใจซื้อหรือขายจะขึ้นอยู่กับความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้
Base currency คือ อะไร
Base currency คือ สกุลเงินแรกที่แสดงในคู่เงิน และแทนสกุลเงินที่ถูกซื้อหรือขายต่อกับอีกสกุลเงินหนึ่ง เช่น ในคู่เงิน EUR/USD สกุลเงิน EUR คือ Base currency เมื่อคุณเทรดคู่นี้ คุณกำลังเดาว่า Base currency (ในกรณีนี้คือยูโร) จะแข็งหรืออ่อนเมื่อเทียบกับ quote currency (ดอลลาร์สหรัฐ) หากคุณเชื่อว่ายูโรจะแข็งแกร่งกว่าดอลลาร์สหรัฐ คุณจะซื้อคู่นี้ คาดว่ามูลค่าของ Base currency จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับ Quote currency
การเข้าใจ Base currency มีความสำคัญดังนี้
- Trade Direction คือ การรู้และเข้าใจ Base currency ช่วยให้นักเทรดตัดสินใจว่าจะซื้อ (buy) หรือขาย (sell) ถ้าเชื่อว่า base currency แข็งค่าก็ควร Buy แต่ถ้าเชื่อว่าอ่อนแรงก็ควร Sell
- Profit and Loss Calculation คือ กำไรและขาดทุนใน Forex ถูกคำนวณจากการเคลื่อนไหวของ base currency ต่อ quote currency การเข้าใจชัดเจนช่วยประเมินผลตอบแทนหรือความเสี่ยง
- Risk Management คือ ด้วยการรู้และเข้าใจ base currency นักเทรดสามารถตัดสินใจเรื่องขนาดของ lot ที่ต้องการเทรด ช่วยในการกำหนดความเสี่ยงและจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Economic Factors คือ เหตุการณ์เศรษฐกิจในประเทศของ base currency สามารถมีผลกระทบต่อมูลค่าของสกุลเงินนั้น การรู้ว่าสกุลเงินไหนเป็น base ช่วยให้นักเทรดติดตามข่าวและข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Base Currency มีอะไรบ้าง
ตัวอย่างของคู่สกุลเงินที่มี “Base Currency” ที่นิยมในตลาด Forex ได้แก่
- EUR/USD: EUR เป็น “สกุลเงินหลัก” และ USD เป็น “สกุลเงินราคา”
- GBP/USD: GBP เป็น “สกุลเงินหลัก” และ USD เป็น “สกุลเงินราคา”
- USD/JPY: USD เป็น “สกุลเงินหลัก” และ JPY เป็น “สกุลเงินราคา”
- AUD/USD: AUD เป็น “สกุลเงินหลัก” และ USD เป็น “สกุลเงินราคา”
ดังนั้น สกุลเงินหลักในตลาด Forex ที่เป็นที่นิยมมีต่อไปนี้
- EUR (ยูโร)
- USD (ดอลลาร์สหรัฐ)
- GBP (ปอนด์สเตอร์ลิง)
- JPY (เยนญี่ปุ่น)
- AUD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย)
- CHF (ฟรังก์สวิส)
- CAD (ดอลลาร์แคนาดา)
- NZD (ดอลลาร์นิวซีแลนด์)
สกุลเงินหลักเหล่านี้มีความสำคัญในตลาดเงินโลก และเป็นตัวที่นักเทรดมองตามอย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์แนวโน้ม และคาดการณ์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคา
ทิศทางการเทรดกับ Base Currency
ในวงการซื้อขาย Forex “Trade Direction” เป็นคำที่ trader ต้องรู้จักดี เมื่อพูดถึง Trade Direction trader ต้องเลือกว่าจะ “Buy” หรือ “Sell”
Going Long (Buy)
เมื่อ trader เลือก “Buy” เทรดเดอร์ซื้อ base currency ของคู่สกุลเงินด้วยความหวังว่ามันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคตเมื่อเทียบกับ quote currency
ตัวอย่าง
- พิจารณา EUR/USD ถ้า trader คิดว่า Euro จะขึ้นมูลค่าเมื่อเทียบกับ S. Dollar
- เทรดเดอร์ก็จะ “Buy”
Going Short (Sell)
- เมื่อ trader เลือก “Sell” เทรดเดอร์ขาย base currency ด้วยความหวังว่ามันจะลดลงเมื่อเทียบกับ quote currency
- ตัวอย่าง: สำหรับ EUR/USD ถ้า trader คาดการณ์ว่า Euro จะลดลงเมื่อเทียบกับ S. Dollar เทรดเดอร์ก็จะ “Sell”
- สำหรับ trader แล้ว การรู้ถึง Trade Direction ขึ้นอยู่กับทักษะในการวิเคราะห์ ความเข้าใจตลาด และการติดตามข่าวสาร
การคำนวณกำไรกับ Base currency
ความเข้าใจในการคำนวณกำไรและขาดทุนในฟอเร็กซ์เป็นสิ่งที่ trader ต้องรู้จัก ความเข้าใจนี้ช่วยให้ trader สามารถติดตามผลการเทรดของตนเอง และช่วยในการตัดสินใจที่มีข้อมูลประกอบ เนื่องจากตลาดฟอเร็กซ์ดำเนินการผ่านคู่สกุลเงิน การคำนวณเหล่านี้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของสกุลเงินหนึ่ง (base currency) เมื่อเทียบกับอีกสกุลเงินหนึ่ง (quote currency)
เมื่อคุณเทรดฟอเร็กซ์ คุณพยายามวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตของคู่สกุลเงิน กำไรหรือขาดทุนของคุณ จะขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างราคาเข้า (เมื่อคุณเริ่มเทรด) และราคาออก (เมื่อคุณปิดการเทรด) วิธีที่ความแตกต่างนี้ส่งผลต่อยอดเงินในบัญชีของคุณขึ้นอยู่กับขนาดของการเทรดของคุณ และค่าของ pip สำหรับคู่สกุลเงินนั้น
การคำนวณกำไร (หรือขาดทุน) ในการเทรด Forex มักจะขึ้นอยู่กับ “Base currency” และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ด้านล่างนี้คือขั้นตอนการคำนวณกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน
- กำหนดจำนวนเงินที่คุณต้องการเทรด: กำหนดจำนวนเงิน (หรือ “lot size”) ที่คุณต้องการจะเทรด. ตัวอย่างเช่น, คุณอาจต้องการเทรด 1 lot ของ EUR/USD ซึ่งอาจจะเท่ากับ 100,000 EUR
- ระบุการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน: ตั้งค่าการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่น คุณซื้อ EUR/USD ที่ 1.1000 และขายที่ 1.1050 การเปลี่ยนแปลงคือ 50 pips
คำนวณ
- สำหรับสกุลเงินที่มี USD เป็น “component currency” โดยปกติแล้ว 1 pip จะมีค่าเท่ากับ 10 USD สำหรับ 1 standard lot (100,000 units)
- ดังนั้น กำไร (หรือขาดทุน) สามารถคำนวณได้โดยการคูณ ความเปลี่ยนแปลงของ pips ด้วยค่าของแต่ละ ในตัวอย่างข้างต้น: 50 pips x 10 USD/pip = 500 USD กำไร
สำคัญ
- ความคุ้มค่าของแต่ละ pip อาจแตกต่างกันไปตามสกุลเงิน และขนาดของ lot ที่คุณเทรด ดังนั้นควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจโครงสร้างการขายซื้อของโบรกเกอร์ของคุณเพื่อคำนวณกำไรและขาดทุนอย่างถูกต้อง
เมื่อคุณได้รับความเข้าใจในการคำนวณเหล่านี้แล้ว การเทรด Forex จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น แต่อย่าลืมว่าการเทรดมีความเสี่ยง ดังนั้นควรเรียนรู้และทำความเข้าใจให้ดี และควรใช้วิธีการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม
ตัวอย่าง 1
- พิจารณาคู่ EUR/USD โดย EUR เป็น base currency และ USD เป็น quote currency
- สมมติว่าคุณเริ่มการเทรด Buy 1 lot (100,000 หน่วย) ของ EUR/USD ที่ 1000
- และหลังจากนั้นคุณปิดการเทรดที่ 1050 ราคาเคลื่อนไปในทิศทางที่คุณต้องการ 50 pips หากทุก pip มีค่า $10 กำไรของคุณคือ $10 x 50 = $500
ตัวอย่าง 2
- หากคุณ Sell 1 lot ของ EUR/USD ที่ 1000
- และปิดการเทรดที่ 0950 ราคาเคลื่อนไปในทิศทางที่คุณต้องการ 50 pips ถ้าทุก pip มีค่า $10 คุณก็ได้กำไร $500
การจัดการความเสี่ยงกับ Base currency
การเทรด Forex การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด เป็นการประเมิน และรับมือกับอันตรายจากการเทรดเพื่อปกป้องทุนและให้ได้ผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง ภายในการจัดการความเสี่ยง การเข้าใจ base currency เป็นส่วนสำคัญ
base currency มีบทบาทสำคัญในการกำหนดความเสี่ยงที่ trader ต้องเผชิญในตลาด มันเป็นสกุลเงินแรกที่แสดงในคู่สกุลเงินและเป็นจุดอ้างอิงสำหรับการประเมินการเทรด ด้วยการระบุ base currency นักเทรดจะเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับ position ในตลาดที่อาจจะเกิดขึ้นและสามารถปรับแต่งกลยุทธ์ได้ตามนั้น
สิ่งที่ต้องพิจารณา
ขนาดของposition (บ่อยครั้งแสดงผลเป็น lot) บ่งบอกถึงจำนวนยูนิตของ base currency ที่นักเทรดกำลังซื้อหรือขาย เช่น ในคู่ EUR/USD ถ้านักเทรดเลือกเทรด lot ขนาด standard lot คือ 100,000 ของ Euro (base currency) การรู้เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ให้ insight เกี่ยวกับกำไรหรือขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังช่วยในการเน้นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องด้วย
การเลือกขนาด lot ที่เหมาะสมเป็นสุดยอดของการจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ถ้านักเทรดเข้าใจรายละเอียดของ base currency เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับขนาด lot ที่ตรงกับการรับรู้ความเสี่ยงของเทรดเดอร์ได้ดียิ่งขึ้น สำหรับตัวอย่าง การเทรด lot ขนาดใหญ่สามารถเพิ่มทั้งกำไรและขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น ในทางกลับกัน lot ขนาดเล็กสามารถลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด แต่อาจจำกัดกำไรที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วย
เศรษฐกิจกับค่าเงิน Base currency
ในโลกการเงินปัจจัยเศรษฐกิจทำหน้าที่เป็นตัวกำหนดที่สำคัญต่อค่าของสกุลเงิน ความสำคัญของปัจจัยเหล่านี้ให้เมื่อพิจารณาในบริบทของ base currency ในคู่สกุลเงินในตลาด Forex base currency ทำหน้าที่เป็นจุดอ้างอิงหลัก สร้างแนวคิดในการวัดค่าของมันเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น
มีเหตุการณ์เศรษฐกิจหลายๆ เหตุการณ์ภายในประเทศที่สามารถส่งผลกระทบต่อค่าของสกุลเงินอย่างหนัก รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงิน, รายงาน GDP, ข้อมูลการจ้างงาน, อัตราเงินเฟ้อ และเหตุการณ์ทางการเมือง และยอดการค้า ยกตัวอย่างเช่น การตัดสินใจของธนาคารกลางในการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสามารถทำให้สกุลเงินของประเทศนั้นเพิ่มค่า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่านำไปสู่ผลตอบแทนที่ดีกว่าบนสินทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินนั้น ซึ่งสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ด้วยการระบุ base currency นักเทรดจึงได้รับความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ควรจะมอง การมองแบบนี้ทำให้พร้อมตอบสนองต่อข้อมูลเศรษฐกิจและข่าวสารที่สำคัญ ยกตัวอย่าง ถ้าพิจารณาคู่ EUR/USD และ Euro เป็น base currency นักเทรดจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อข่าวเศรษฐกิจที่มาจากโซนยุโรป
ความแตกต่าง Base vs Quote Asset
เมื่อพูดถึง Forex หรือเครื่องมือทางการเงินที่เกี่ยวกับคู่สกุลเงิน มีสองคำศัพท์หลักคือ “Base” และ “Quote” (หรือ สกุลเงินหลัก และ สกุลเงินราคา) การเข้าใจความแตกต่างระหว่างสองอย่างนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเทรด
สกุลเงินหลัก (Base Asset หรือ Base Currency)
- ตำแหน่งในคู่สกุลเงิน: สกุลเงินหลักคือสกุลเงินตัวแรกในคู่สกุลเงิน ตัวอย่างเช่นในคู่ EUR/USD, EUR คือสกุลเงินหลัก
- การอ้างอิงค่า: สกุลเงินหลักใช้เป็นการอ้างอิงถึงว่าต้องใช้สกุลเงินราคาเท่าไหร่เพื่อได้สกุลเงินหลักหนึ่งหน่วย
- วัตถุประสงค์: เมื่อคุณเทรด หากคุณซื้อคู่สกุลเงินนั้น คุณกำลังซื้อสกุลเงินหลัก และขายสกุลเงินราคา แต่ถ้าคุณขายคู่สกุลเงินนั้น คุณกำลังขายสกุลเงินหลักและซื้อสกุลเงินราคา
สกุลเงินราคา (Quote Asset หรือ Quote Currency)
- ตำแหน่งในคู่สกุลเงิน: สกุลเงินราคาคือสกุลเงินตัวที่สองในคู่สกุลเงิน
- การอ้างอิงค่า: สกุลเงินราคาบอกเราว่าต้องใช้เท่าไรเพื่อซื้อสกุลเงินหลักหนึ่งหน่วย
- วัตถุประสงค์: เมื่อดูการเคลื่อนไหวของราคา การเปลี่ยนแปลงของค่าจะเป็นเป็นสกุลเงินราคา
สรุปความแตกต่าง
- ตำแหน่ง: สกุลเงินหลักอยู่ที่แรก สกุลเงินราคาอยู่ที่สอง
- จุดอ้างอิง: สกุลเงินหลักคือสิ่งที่คุณกำลังซื้อ/ขาย และค่าของมันจะถูกกำหนดโดยสกุลเงินราคา
- การเคลื่อนไหวของราคา: การเปลี่ยนแปลงของค่าในคู่สกุลเงินปรากฏในสกุลเงินราคา
ในบริบทการเงินอื่นๆ เช่น การเทรด cryptocurrency เราก็สามารถนำคำศัพท์เหล่านี้มาใช้ได้เช่นกัน
สรุป
ความสำคัญของ base currency นั้น ถือว่าเป็นตัวชี้วัดที่ใช้วัดค่าของสกุลเงินอื่น ไม่ว่าคุณจะประเมินประสิทธิภาพของดอลลาร์ออสเตรเลียต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือยูโรต่อเยนญี่ปุ่น นอกจากนี้ base currency ยังช่วยนักเทรดในหลายๆ แบบ เริ่มต้นจากการกำหนดขนาด position ไปจนถึงการประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้น มันให้ความชัดเจนของตลาด ทำให้นักเทรดสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น เช่น ด้วยการรับรู้และเข้าใจ base currency นี้นักเทรดสามารถติดตามเหตุการณ์เศรษฐกิจและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องได้มากขึ้น ซึ่งสามารถส่งผลต่อค่าสกุลเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ