ความหมายของคำว่า Breakout ถ้าจะให้แปลแบบโต้ง ๆ เลยก็คือ “การฝ่าวงล้อม” แต่ในตลาดการเทรดสิ่งนี้คือ การที่ราคาสินทรัพย์เคลื่อนที่ออกนอกระดับแนวรับ หรือแนวต้านที่กำหนดไว้ พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น โดยเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์แบบ Breakout Trading นี้ จะเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาพุ่งทะลุแนวต้าน หรือเปิดสถานะขายเมื่อราคาลดลงต่ำกว่าแนวรับ ซึ่งแนวทางการเทรดแบบฝ่าวงล้อมวงล้อมนี้จะมีอะไรบ้าง มาศึกษาวิชาการเทรดที่น่าสนใจในบทความนี้กันเลย

เจาะลึกทำความเข้าใจ Breakout Trading คืออะไร?

ก่อนที่เราจะไปเข้าสู่ขั้นตอนศึกษากลยุทธ์การ Breakout ในตลาด Forex เรามาทำความเข้าใจกับคำว่า “Breakout” กันก่อนดีกว่า Breakout คือการเคลื่อนไหวของราคาใด ๆ ที่อยู่นอกบริเวณแนวรับหรือแนวต้านที่กำหนดไว้ การ Breakout อาจเกิดขึ้นในระดับแนวนอนหรือแนวทแยง ก็ได้ ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้น

รูปแบบของ Bullish breakout

จากภาพด้านบนนี้ คุณจะเห็นได้ว่าตลาดมีแนวโน้มขาขึ้นแต่พบแนวต้านที่ระดับแนวนอน แต่หลังจากที่พยายามฝ่าไป 2 ครั้ง ในที่สุดตลาดก็ทะลุแนวต้านได้ ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่าราคาทะลุแนวต้าน จากระดับแนวต้านหลัก

ในส่วนของการทะลุแนวรับขาลงนั้น ก็คล้ายกับการทะลุแนวรับขาขึ้น เพียงแต่คราวนี้ตลาดทะจะลุลงมาด้านล่าง หลังจากพยายามถึง 2 ครั้ง ในที่สุดตลาดก็ทะลุแนวรับได้ ซึ่งถือเป็นสัญญาณการทะลุแนวรับขาลงจากระดับแนวรับสำคัญ

รูปแบบของ Bearish breakout

เหตุผลที่การทะลุแนวรับเหล่านี้ถือเป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่สำคัญก็เพราะว่า สิ่งนี้มักเป็นจุดเริ่มต้นของความผันผวนที่เพิ่มขึ้น หากรอให้มีการทะลุระดับสำคัญ เทรดเดอร์ก็สามารถใช้ความผันผวนนี้ให้เป็นประโยชน์ได้ ด้วยการเข้าหาจุดซื้อขายกับแนวโน้มใหม่เมื่อมันเกิดขึ้น

เทคนิค Breakout Trading ที่เหมาะกับมือใหม่ และใช้ง่ายที่สุด

คราวนี้เรามาดู เทคนิค Breakout Trading ที่เหมาะกับมือใหม่นี้กันเลย โดยรูปแบบการทะลุแนวรับของ Forex นี้จะมี 4 ส่วน คือ

  1. แนวรับ
  2. แนวต้าน
  3. การทะลุแนวรับ
  4. การทดสอบซ้ำ

การเกิด Wedge Pattern หรือการทะลุรูปแบบลิ่ม

ถ้าคุณได้ดูตัวอย่างนี้แล้ว คุณจะเห็นได้ว่ามันมีความคล้ายคลึงกับตัวอย่าง 2 ภาพแรกมาก แต่! ความแตกต่างที่สำคัญคือแทนที่จะมีเส้นแนวโน้มหนึ่งเส้นและเส้นแนวนอนหนึ่งเส้น คราวนี้กลับมีเส้นแนวโน้มสองเส้น เส้นแนวโน้มเส้นหนึ่งทำหน้าที่เป็นแนวรับ ในขณะที่อีกเส้นทำหน้าที่เป็นแนวต้าน สิ่งนี้ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Wedge (ลิ่ม)

การทะลุรูปแบบนี้จะเกิดขึ้นเมื่อตลาดทะลุไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แม้ว่าการเกิด Wedge Pattern มักจะเป็นรูปแบบต่อเนื่อง แต่เทรดเดอร์จำนวนมาก ก็มักจะทำการซื้อขายโดยพิจารณาจากทิศทางที่ตลาดทะลุไป หรือก็คือพิจารณาถึงการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตก่อนที่จะทำการซื้อขาย คราวนี้มาลองใช้รูปแบบเดียวกันนี้กับกราฟ USD/JPY 4 ชั่วโมง ดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น

การเกิด Wedge Pattern ใน กราฟ USD/JPY 4 ชั่วโมง

คุณจะสังเกตว่าใน กราฟ USD/JPY 4 ชั่วโมงนี้ ตลาดได้เคลื่อนตัวเข้าสู่รูปแบบลิ่ม เมื่อตลาดเริ่มรวมตัวกันแน่นขึ้น ในที่สุดตลาดก็ทะลุแนวรับของลิ่มไปได้

กลยุทธ์การเข้าและหาจุดที่จะวาง Stop Loss ใน Breakout Trading

เอาละ มาดูกลยุทธ์การเข้าและหาจุดที่จะวาง Stop Loss กัน ลองมาดูซิว่ามีแนวทางยังไงบ้าง ที่คุณจะนำไปประยุกต์ใช้กับการเทรดของตัวเองได้บ้าง

1.จุดเข้า

ส่วนใหญ่แล้วการหา “จุดเข้า” คือ ให้คุณทดสอบแนวรับหรือแนวต้านเดิมอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญมันขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอของตลาด เพราะต่อให้มีการทดสอบซ้ำแต่อาจไม่ผ่านก็ได้ และในส่วนนี้เราจะนำมาอธิบายกันเพิ่มเติมในภายหลัง สำหรับตอนนี้ ขอให้คุณเข้าใจเพียงว่าแนวทางการหาจุดเข้าที่ดีที่สุดคือ เข้าเมื่อทดสอบแนวรับหรือแนวต้านเดิมอีกครั้ง และขึ้นอยู่กับว่าตลาดทะลุแนวใด

2. Stop Loss

คุณควรวางจุดตัด Stop Loss ไว้เหนือหรือใต้แท่งเทียนทะลุแนวรับ ยกตัวอย่าง รูปแบบการทะลุของ USD/JPY นี้ คุณควรวางจุดตัดขาดทุนไว้เหนือแท่งเทียนที่ทะลุแนวรับ

คุณควรวางจุดตัด Stop Loss ไว้เหนือหรือใต้แท่งเทียนทะลุแนวรับ

3. การตั้งเป้าหมาย

ตอนนี้เราก็ได้รู้แล้วว่าต้องเข้าและตั้งหยุดการขาดทุนที่ตรงไหน คราวนี้เรามาดูวิธีตั้งเป้าหมายกันดีกว่า โดยเราจะยกตัวอย่างแผนภูมิแบบ USD/JPY มานำเสนอเพื่อทำให้คุณเห็นภาพได้มากขึ้น ซึ่งเราจะมาเช็กกรอบเวลารายวันเพื่อดูว่าเราจะสามารถระบุเป้าหมายที่สมเหตุสมผล สำหรับการเทรดแบบ breakout ได้หรือไม่

พื้นที่สนับสนุน (Strong support area) ที่แข็งแกร่ง เป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการกำหนดทิศทางการซื้อขาย

สิ่งแรกที่คุณจะสังเกตเห็นก็คือมันมีพื้นที่สนับสนุน (Strong support area) ที่แข็งแกร่งมาก และก็มีมาเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งทำให้เป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการกำหนดทิศทางการซื้อขายของเรา และอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่เราได้จากการกำหนดทิศทางการซื้อขายนี้เป็นอย่างไร มาดูกัน

จุดตัดขาดทุนอยู่ที่ 13 pip จากจุดเข้า ในขณะที่จุดทำกำไรอยู่ที่ 50 pip จากจุดเข้า ซึ่งทำให้เราได้ 3.8R (50 / 13)

จากกราฟ USD/JPY 4 ชั่วโมงด้านบนนี้ เราจะเห็นได้ว่าจุดตัดขาดทุนอยู่ที่ 13 pip จากจุดเข้า ในขณะที่จุดทำกำไรอยู่ที่ 50 pip จากจุดเข้า ซึ่งทำให้เราได้ 3.8R (50 / 13) ซึ่งแปลว่า ถ้าหากคุณเสี่ยงเพียง 2% ในการซื้อขายนี้ คุณจะทำกำไรได้ 7.6% (3.8 x 2%) และ 7.6% นี้เป็นการทำกำไรในเวลาเพียง 32 ชั่วโมง!

ตัวอย่างการทะลุแนวรับของ GBP/NZD

คราวนี้มาดูอีกตัวอย่างของกลยุทธ์ กลยุทธ์แบบ Breakout Trading ในการเทรด FOREX กัน โดยที่ Breakout รูปแบบลิ่มนี้จะเกิดขึ้นในกราฟ 4 ชั่วโมงของ GBP/NZD ความแตกต่างที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ไม่มีการทดสอบแนวรับเดิมอีกครั้งเมื่อตลาดทะลุแนวรับลงมา

การทดสอบซ้ำนี้มักจะเกิดขึ้นภายในแท่งเทียนถัดไปประมาณ 2 – 3 แท่ง แต่ถ้าเราปล่อยเวลาไปสักหน่อย ก็มีโอกาสสูงที่ผลการทดสอบจะไม่ออกมาเหมือนเดิม

ในกราฟ GBP/NZD นี้ คุณจะเห็นว่าการทดสอบแนวรับเดิมล้มเหลว ก่อนที่จะร่วงลงไป 430 จุด แต่เพียงเพราะการทดสอบล้มเหลว ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องพลาดการเทรดนี้ไป ต้องขออธิบายก่อนว่า การทดสอบซ้ำนี้มักจะเกิดขึ้นภายในแท่งเทียนถัดไปประมาณ 2 – 3 แท่ง แต่ถ้าเราปล่อยเวลาไปสักหน่อย ให้ตลาดเริ่มเคลื่อนไหวในแนวนอนนานกว่า 3 – 4 ช่วงเวลา คราวนี้ก็มีโอกาสสูงที่ผลการทดสอบจะไม่ออกมาเหมือนเดิม

ตลาดเริ่มเคลื่อนไหวในแนวนอนเป็นเวลาหลายช่วงเวลา

ในแผนภูมิ 4 ชั่วโมงของ GBP/NZD นี้ ให้คุณสังเกตว่าตลาดเริ่มเคลื่อนไหวในแนวนอนเป็นเวลาหลายช่วงเวลา เมื่อคุณเห็นว่าสิ่งนี้เกิดขึ้น ตามปกติแล้วจังหวะนี้เป็นจังหวะเวลาที่ดีที่จะใช้คำสั่งซื้อขาย

ถือว่าค่อนข้างดีเลย ที่สามารถทำกำไรได้ 7.8% ใน 36 ชั่วโมง ในขณะที่เสี่ยงเพียง 2% เท่านั้น

สำหรับการตั้งค่าการเทรด GBP/NZD นี้ จุดตัดขาดทุนของเราคือ 45 pip จากจุดเข้า และอย่าลืมว่าให้คุณวางจุดตัดขาดทุนอยู่เหนือหรือใต้แท่งเทียนทะลุแนวรับ และเนื่องจากตัวอย่างนี้เป็นการตั้งค่าระยะสั้น ดังนั้นจุดตัดขาดทุนของเราจึงวางไว้เหนือแท่งเทียนทะลุแนวรับ

และในทางกลับกัน จุดทำกำไรของเราคือ 175 pip จากจุดเข้า เป้าหมายนี้ถูกระบุจากจุดต่ำสุดล่าสุดซึ่งเกิดขึ้นหลายสัปดาห์ก่อน ซึ่งทำให้เกิดการซื้อขายที่แข็งแรงมากที่ 3.9R ดังนั้นหากคุณเสี่ยง 2% ในการเทรดนี้ คุณจะเหลือกำไร 7.8% และการตั้งค่าแบบนี้ใช้เวลาเพียง 36 ชั่วโมงตั้งแต่เริ่มต้นไปจนเสร็จสิ้น ซึ่งถือว่าค่อนข้างดีเลย ที่สามารถทำกำไรได้ 7.8% ใน 36 ชั่วโมง ในขณะที่เสี่ยงเพียง 2% เท่านั้น

สรุป

กลยุทธ์ Breakout Trading ในการเทรด Forex มี 4 ส่วน ได้แก่ แนวรับ แนวต้าน ทะลุแนวรับ และการทดสอบราคาใหม่ การซื้อขายแบบ Breakout อาจทำกำไรได้ เพราะราคาสินทรัพย์สามารถเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเมื่อทะลุระดับ Breakout และโดยทั่วไป ยิ่งตลาดรวมตัวนานเท่าไร การทะลุแนวรับที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งผันผวนมากขึ้นเท่านั้น

SOURCE :