ในโลกของการลงทุนนั้น มีตัวชี้วัดและปัจจัยต่างๆมากมายที่ถูกนำมาใช้ตัดสินใจประกอบการลงทุน และหนึ่งในปัจจัยดังกล่าว คงไม่พ้น GDP และ GNP แล้วทั้ง2คำนี้ คืออะไร เกี่ยวข้องกับนักลงทุนอย่างไร บทความนี้จะอธิบายความหมายและความสำคัญให้ฟังกัน
GDP และ GNP คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร
GDP หรือ Gross Domestic Product หมายถึง ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เป็นมาตรวัดรายรับของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใดก็ตาม ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ไม่นับรวมรายได้ของคนสัญชาตินั้นๆในต่างประเทศ)
GDP ของไทยก็คือ รายได้ทุกคน ทุกสัญชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
ตัวอย่างเช่น :
- บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น มาตั้งฐานการผลิตที่โรงงานจังหวัดปราจีนบุรี นับเป็น GDP ของประเทศไทย (และนับเป็น GNP ของประเทศญี่ปุ่น)
GNP หรือ Gross National Product หมายถึง ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ เป็นมาตรวัดรายรับของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตโดยคนในชาตินั้นๆ ไม่ว่าจะผลิตที่ประเทศใดก็ตาม ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
GNP ของไทยก็คือ รายได้คนสัญชาติไทย ที่เกิดขึ้นทั่วโลก
ตัวอย่างเช่น :
- นายรักไทย สัญชาติไทยเปิดร้านอาหารที่นิวซีแลนด์ นับเป็น GNP ของประเทศไทย (และนับเป็น GDP ของประเทศนิวซีแลนด์)
GDP และ GNP คำนวณอย่างไร
การคำนวณ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) สามารถทำได้ 3 วิธีหลักๆ คือ
1.) วิธีด้านผลผลิต (Production Approach) หรือ มูลค่าผลผลิตสุทธิในประเทศ : ใช้วัดว่าแต่ละภาคเศรษฐกิจ (เกษตรกรรม, อุตสาหกรรม, บริการ) ผลิตสินค้าและบริการออกมาเป็นมูลค่าเท่าไร เพื่อดูว่าภาคส่วนใดขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
GDP = มูลค่าผลผลิตรวม – มูลค่าต้นทุนปัจจัยการผลิต (ค่าวัตถุดิบ ฯลฯ)
2.) วิธีด้านรายได้ (Income Approach) : รวมรายได้ทั้งหมดที่เกิดจากการผลิตภายในประเทศ ใช้วัดว่า GDP ถูกกระจายไปเป็นรายได้ให้กับใครบ้าง (แรงงาน, เจ้าของธุรกิจ, รัฐ)
GDP = ค่าจ้างแรงงาน + ดอกเบี้ย + ค่าเช่า + กำไร + ภาษีทางอ้อม – เงินอุดหนุน
3.) วิธีด้านรายจ่าย (Expenditure Approach) : รวมรายจ่ายของครัวเรือนในการซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายรวมกันในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งนิยมใช้วิธีนี้มากที่สุด เพราะมีข้อมูลรายจ่ายชัดเจน
GDP = C + I + G + (X – M)
- C = Consumption คือบริโภคหรือใช้จ่ายของภาคเอกชนภายในประเทศ
- I = Investment คือการลงทุนของภาคเอกชนภายในประเทศ
- G = Government Spending คือการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ
- X – M = Export – Import คือมูลค่าการส่งออกสุทธิ
การคำนวณ GNP คือ
GNP = GDP + รายได้สุทธิจากต่างประเทศ
รายได้สุทธิจากต่างประเทศ = รายได้ที่คนไทยได้รับจากต่างประเทศ – รายได้ที่ชาวต่างชาติได้รับจากไทย
ความสำคัญของค่า GDP และ GNP ต่อนักลงทุน
- GDP ใช้วัดขนาดและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศ “แข็งแรงแค่ไหน” เช่น ถ้าค่า GDP เป็นบวกเพิ่มขึ้น แสดงถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่มีการเติบโตขึ้น มีเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น หรือแสดงถึงการเพิ่มขึ้นของการผลิต การจ้างงาน หรือรายได้ ทำให้บริษัทต่างๆ มักจะมีกำไรที่ดีขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัว ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ส่งผลให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นและมีการลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น ในทางกลับกันถ้าค่า GDP เป็นลบ แสดงถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัวลง มีเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศลดลง อาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทและผลการดำเนินงานของตลาดหุ้น ดังนั้นนักลงทุนอาจพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าแทน เช่น ตราสารหนี้หรือทองคำ เป็นต้น
- GNP วัดรายได้แท้จริงของพลเมือง บอกเราว่าคนในประเทศ “มีรายได้หรือความมั่งคั่งเพียงใด” ซึ่ง GNP ที่เติบโตแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถของคนในชาติในการสร้างรายได้ ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศหรือต่างประเทศ
- การเปรียบเทียบตัวเลข GDP และ GNP ของแต่ละประเทศช่วยให้นักลงทุนประเมินความน่าสนใจในการลงทุนในตลาดต่างประเทศได้ เช่น หาก GDP สูงกว่า GNP มาก อาจหมายถึงมีการลงทุนจากต่างชาติในประเทศจำนวนมาก หรือก็คือมีการจ่ายค่าผลประโยชน์จากการลงทุนและค่าตอบแทนจากการทำงานให้กับชาวต่างชาติมากกว่าส่วนที่รับจากต่างประเทศ
บทสรุป
นักลงทุนสามารถใช้การเติบโตของ GDP และ GNP เพื่อวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนได้ โดยสามารถนำมาคาดการณ์กับตลาดหุ้นว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นหรือลง แต่ทั้งนี้ต้องใช้ควบคู่กับการพิจารณาปัจจัยองค์ประกอบอื่นๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ การเมือง และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น