เมื่อพูดถึงสกุลเงินของประเทศจีน หลายคนอาจเคยได้ยินทั้งคำว่า “RMB” และ “CNY” จนเกิดความสับสนว่า แท้จริงแล้วทั้งสองคำนี้หมายถึงสิ่งเดียวกันหรือไม่ และมีความแตกต่างกันอย่างไร โดยเฉพาะในแวดวงเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุนที่ต้องใช้ความแม่นยำในการเรียกชื่อสกุลเงิน ในบทความนี้จะพาผู้อ่านทำความเข้าใจความหมายของ RMB และ CNY ว่าหมายถึงอะไร ใช้ในบริบทไหน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง รวมไปถึงการเข้าใจถึงแนวโน้มการเติบโตของสกุลเงินดังกล่าว
รู้จัก RMB และ CNY
RMB (Renminbi) ถือเป็นเงินตราอย่างเป็นทางการของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นชื่อที่คนจีนเองนิยมเรียกกัน อ่านว่า เหรินหมินปี้ (rén mín bì) โดย เหรินหมิน แปลว่า “ประชาชน” ส่วน ปี้ แปลว่า “เงิน” ดังนั้นแปลตรงตัวก็คือ “เงินของประชาชน”
โดยจีนได้พิมพ์เงินสกุลนี้ขึ้นมาใช้นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1948 (จากยุคก่อนหน้านั้นที่มีการใช้เงินเปลือกหอย เงินโลหะ และเหรียญเงิน)
RMB ออกโดยธนาคารประชาชนแห่งชาติจีน (People’s Bank of China: PBOC) ซึ่งเป็นหน่วยงานทางด้านเงินตราของจีนแผ่นดินใหญ่ ตัวย่อใน ISO 4217 คือ CNY แสดงด้วยสัญลักษณ์ ¥ ถูกใช้ทั่วไปในบริบทที่ไม่เกี่ยวกับการเทรด เช่น เอกสารรัฐบาล, รายงานภายในประเทศจีน
CNY (Chinese Yuan) เป็นชื่อเรียกสกุลเงินตามมาตรฐานสากล คนทั่วไปจึงอาจคุ้นเคยตัวย่อนี้มากกว่า โดยใช้อักษรละตินตัวใหญ่ 3 ตัวจากชื่อประเทศและชื่อสกุลเงินหยวน เหมือนกับที่ไทยมีสกุลเงินไทยบาท (THB) ขณะที่หยวนก็เป็นหน่วยเงินของจีน เช่น ราคา 100 หยวน หรือ 100 CNY คล้ายกับที่ไทยเรียก 100 บาท หรือ 100 THB แบบนี้เป็นต้น ปกติมักใช้ CNY ในตลาดการเงิน, การเทรด Forex, ธนาคารระหว่างประเทศ
ดังนั้น เวลาเทรดใน Forex จะเห็นว่าใช้รหัส CNY ไม่ใช่ RMB เช่น USD/CNY
แนวโน้มการเติบโตของการใช้เงินหยวนของจีน
- เดือนต.ค. ปี 2016 IMF พิจารณาให้ CNY ได้บรรจุใน SDR (Special Drawing Rights) (ต่อจาก USD, EUR, GBP, JPY) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ สกุลเงินของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (emerging market) ได้รับการยอมรับในฐานะ “สกุลเงินสำรองระหว่างประเทศ” ใน SDR ส่งผลให้ CNY เป็นสกุลเงินที่ใช้งานได้อย่างเสรี เช่นธุรกรรมระหว่างประเทศ เงินทุนสำรอง พันธบัตร Forex เป็นต้น ซึ่งสัดส่วน SDR หลังการ Revaluation ในปี 2022 พบว่า CNY มีสัดส่วนสูงถึง 12.28% (เพิ่มขึ้นจากเดิม 10.92% ในปี 2016) และเป็นลำดับที่ 3 รองจาก USD ซึ่งมีสัดส่วน 43.38%, EUR สัดส่วน 29.31% ส่วน JPY มีสัดส่วน 7.59%, GBP สัดส่วน 7.44% สองกลุ่มนี้ลดลงเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่า CNY มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นในตลาดโลก
- ต้นปี 2025 เงินหยวนติดอันดับ Top 5 ของสกุลเงินที่ใช้ชำระเงินระหว่างประเทศ (ตามข้อมูล SWIFT) แม้ว่าสัดส่วนจะแค่เพียง 3.5 – 5% (เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่สูงถึง 46%) แต่ก็มีแนวโน้มที่จะถือเงินหยวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากการที่จีนมีการค้าระหว่างประเทศสูง และจากความไม่แน่นอนทางการค้าของสหรัฐฯที่ส่งผลกระทบให้ทั่วโลกลดการถือครองสกุลเงินดอลลาร์ลง
- ผลกระทบจากปัจจัยการเมืองระดับโลกจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะในยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์ 2.0 ที่มีนโยบายแข็งกร้าวต่อจีน ส่งผลโดยตรงต่อความเคลื่อนไหวของค่าเงิน CNY (หยวนจีน) ทำให้มีแนวโน้มอ่อนค่าหรือผันผวนสูง เป็นการเร่งผลักดันให้จีนหาวิธีลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนเตรียมจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเงินหยวนดิจิทัลนานาชาติเพื่อผลักดันสกุลเงินหยวนสู่สากล หรือหยวนดิจิทัล โดยสนับสนุนการพัฒนาระบบหลายขั้วของสกุลเงินโลก (Multi-polar Currency System) คือระบบเศรษฐกิจโลกที่มีหลายสกุลเงินหลักใช้งานควบคู่กัน ช่วยเปิดทางให้บางสกุลเงินมีอำนาจในภูมิภาค เพื่อถ่วงดุลซึ่งกันและกัน
สาระน่ารู้เพิ่มเติม
ในตลาดต่างประเทศ เช่น ในฮ่องกงหรือลอนดอน อาจเห็นสัญลักษณ์ CNH ซึ่งหมายถึงเงินหยวนที่ซื้อขายนอกจีนแผ่นดินใหญ่ แม้ CNH กับ CNY จะเป็นเงินหยวนจีนเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในแง่ “สถานที่” และ “การควบคุม” คือ
- CNY คือ Chinese Yuan (Onshore) ใช้ภายในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ มีธนาคารกลางจีนควบคุม
- CNH คือ Chinese Yuan (Offshore) ใช้นอกประเทศจีน เช่น ฮ่องกง, สิงคโปร์, ลอนดอน ฯลฯ โดยอิงตลาดเสรีมากกว่า
บทสรุป
ดังที่เราเห็นได้ถึงแนวโน้มการเติบโตของการใช้สกุลเงินหยวนในปัจจุบัน จะเห็นว่าจีนมีบทบาทในเวทีเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ทั้งการเร่งผลักดันให้เงินหยวนมีบทบาทเพิ่มขึ้นในตลาดทุนระหว่างประเทศ หรือผลักดันให้ประเทศต่างๆถือเงินหยวนเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินหลักอีกสกุลหนึ่งของโลก ก็เป็นที่น่าจับตามองเช่นกันว่าภาพในอนาคตจะเป็นอย่างไร แม้ว่าจีนจะขึ้นมาเทียบเท่าสหรัฐฯไม่ได้ง่ายๆในเร็ววันนี้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้..ในอนาคต…
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- https://th.wikipedia.org/wiki
- https://today.line.me/th/v3/article/JPG7EV7