Trend Following หรือ กลยุทธ์การเทรดทำกำไรตามแนวโน้ม จัดเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจ ในการนำมาเทรดในตลาด FOREX ซึ่งกลยุทธ์นี้จะใช้การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในตลาดเพื่อกำหนดทิศทางของแนวโน้ม ผู้ที่ใช้กลยุทธ์นี้จะต้องมองหาตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง แล้วจึงเข้าซื้อขายไปตามทิศทางของแนวโน้มนั้น ๆ เป้าหมายคือการเกาะติดแนวโน้มให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อเพิ่มผลกำไรให้ได้สูงสุด

กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม อิงจากสมมติฐานที่ว่าตลาดมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเป็นระยะเวลานาน ซึ่งหมายความว่าหากตลาดกำลังเคลื่อนที่ขึ้นก็มีโอกาสสูงที่จะเคลื่อนที่ขึ้นต่อไป และหากตลาดกำลังเคลื่อนที่ลงก็มีโอกาสสูงที่จะเคลื่อนที่ลงต่อไป กลยุทธ์การตามแนวโน้มจึงมุ่งเน้นการสร้างกำไรจากการเคลื่อนไหวของแนวโน้มเหล่านี้

การระบุแนวโน้ม ด้วยกลยุทธ์ Trend Following ทำยังไง?

ขั้นตอนแรกในการใช้กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้มคือ “การระบุแนวโน้ม” ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี แต่ที่นิยมที่สุดคือการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เส้นแนวโน้ม (Trend Lines) และการเคลื่อนไหวของราคา (Price Action)

  • ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการระบุหาแนวโน้ม ข้อดีคือช่วยลดความผันผวนของราคาและแสดงราคาค่าเฉลี่ยในช่วงเวลาที่กำหนด เทรดเดอร์สามารถใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในช่วงเวลาต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบทิศทางของแนวโน้มได้
  • เส้นแนวโน้ม เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีประโยชน์ ที่นำมาใช้ในการระบุแนวโน้ม โดยการลากเส้นแนวโน้มจะทำโดยการเชื่อมจุดสูงสุดหรือต่ำสุดสองจุดหรือมากกว่านี้บนกราฟ ซึ่งจะทำให้เทรดเดอร์เห็นภาพทิศทางของแนวโน้มได้ชัดเจนขึ้น
  • การเคลื่อนไหวของราคา (Price Action) เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการระบุแนวโน้มเช่นกัน โดยเทรดเดอร์สามารถมองหารูปแบบราคา เช่น ราคาสูงขึ้นและต่ำลงในกรณีแนวโน้มขาขึ้น หรือราคาต่ำลงและสูงขึ้นในกรณีแนวโน้มขาลง ได้

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น (Short-Term Moving Average) น้อยกว่า ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (Long-Term Moving Average) ให้ทำการ ขายชอร์ต

การเข้าทำการซื้อขาย

ต่อมาเมื่อระบุแนวโน้มได้แล้ว เทรดเดอร์สามารถเข้าทำการซื้อขายตามแนวโน้มที่เกิดขึ้นได้ โดยที่เทรดเดอร์สามารถใช้กลยุทธ์เข้าทำการซื้อขายต่าง ๆ อย่างเช่น รอให้ราคาย่อตัวลงมาที่ระดับสำคัญ หรือใช้กลยุทธ์รอให้ทะลุแนวรับ เป็นต้น

การตั้ง Stop Loss และ Take Profit

และเพื่อจัดการความเสี่ยง เทรดเดอร์ควรใช้คำสั่ง Stop Loss เพื่อจำกัดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นเสมอ และควรวาง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดล่าสุดสำหรับตำแหน่งซื้อ และวางให้อยู่เหนือจุดสูงสุดล่าสุดสำหรับตำแหน่งขาย นอกจากนี้คุณควรใช้คำสั่ง Take Profit เพื่อล็อกกำไรด้วย เทรดเดอร์สามารถใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ ในการกำหนดระดับ Take Profit เช่น การใช้ Fibonacci retracement

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น (Short-Term Moving Average) มากกว่า ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (Long-Term Moving Average) ให้ทำการเข้าซื้อสินทรัพย์

กลยุทธ์ยอดนิยม ที่นำมาใช้กับ Trend Following

เอาละ คราวนี้เราจะมาแนะนำกลยุทธ์ 3 กลยุทธ์ให้เทรดเดอร์นำไปเป็นไอเดียใช้งานกัน ซึ่งแต่ละกลยุทธ์นี้ถูกสร้างขึ้นจากตัวบ่งชี้กลยุทธ์การซื้อขายตามแนวโน้มเฉพาะ ร่วมกับการใช้ข้อมูลเชิงลึก เพื่อตัดสินใจเข้าซื้อขายได้อย่างแม่นยำ

1.กลยุทธ์ Bollinger Bands และ ADX

กลยุทธ์การติดตามแนวโน้มนี้ เราจะใช้อินดิเคเตอร์ที่มีชื่อว่า Bollinger Bands ที่อิงตามความผันผวนเข้ากับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 ช่วงเวลา ซึ่งกำหนดเป็นเส้นกลาง และการตั้งค่าค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 2 สำหรับแถบบนและแถบล่าง ซึ่งจะมีการใช้งานร่วมกับอินดิเคเตอร์ Average Directional Index (ADX) ที่วัดความแรงของแนวโน้มกับการตั้งค่าเริ่มต้น 14 ช่วงเวลา

คราวนี้ เราจะมองหาช่วงเวลาที่มีความผันผวนต่ำซึ่งบ่งชี้โดย Bollinger Bands ที่บีบเข้าหาเส้นกลาง ซึ่งมักจะเป็ยสิ่งที่บอกว่าตลาดกำลังรวมตัวกันก่อนที่จะเกิดการทะลุ เมื่อเกิดการบีบตัวของ Bollinger Bands คราวนี้ให้มาดูที่ ADX เพื่อยืนยันอีกที ซึ่งค่า ADX จะต้องสูงกว่า 25 และมีการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

 หากเส้น Bollinger Band ด้านบนตัดกันจนเป็นขาขึ้นในแนวโน้มที่แข็งแกร่ง คุณอาจทำการซื้อขายแบบ long แต่ถ้าเส้น Bollinger Band ด้านล่างตัดกันเป็นขาลงในแนวโน้มที่มั่นคง คุณอาจซื้อขายแบบ short คุณสามารถวางจุด Stop loss ได้ที่ระดับแนวรับ/แนวต้านล่าสุด ทั้งการซื้อขายแบบ long และ short

2.กลยุทธ์ Ichimoku Cloud และ RSI

ในการเข้าสู่ตำแหน่งซื้อ เราต้องการให้ราคาทะลุเหนือเมฆ Ichimoku Cloud ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง และในทางกลับกัน ถ้าเราซื้อขายในแนวโน้มขาลง ราคาก็ควรตกลงต่ำกว่าเมฆ เมื่อเราพบสัญญาณเหล่านี้แล้ว เราก็จะมองหาการยืนยันเพิ่มเติม

โดยองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดสำหรับกลยุทธ์นี้คือ การสังเกตเส้นสีน้ำเงินและสีแดงของ Ichimoku Cloud การที่เส้น conversion line (สีน้ำเงิน) ตัดผ่านเหนือเส้น baseline (สีแดง) ถือเป็นสัญญาณเข้าซื้อขายระยะยาว ในขณะที่การที่เส้น baseline (สีแดง) ตัดผ่านด้านล่างของเส้น conversion line (สีน้ำเงิน) ถือเป็นสัญญาณเข้าซื้อขายระยะสั้น

หลังจากเช็กสัญญาณขาขึ้นหรือขาลงจาก Ichimoku Cloud แล้ว คราวนี้เราก็จะมาตรวจสอบที่ RSI ซึ่งควรมีสัญญาณที่สอดคล้องเช่นกัน สำหรับการเทรดขาขึ้น RSI ควรอยู่เหนือ 50 และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่สำหรับการเทรดระยะสั้น การเข้าเทรดควรอยู่ต่ำกว่าที่ระดับนี้และชี้ลง

เมื่อคุณเริ่มเทรด ให้คุณมองหาการเปลี่ยนแปลงสีใน Ichimoku Cloud เพื่อกำหนดจุดขายทำกำไร

ในแนวโน้มขาขึ้น หากเมฆเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดงในขณะที่ RSI อยู่ต่ำกว่า 50 อาจเป็นสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้ม และอาจใช้เป็นสัญญาณขายทำกำไรได้ ส่วนการเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวและ RSI อยู่เหนือ 50 ในตำแหน่งขายอาจเป็นสัญญาณขาลง ซึ่งคุณอาจมีการกำหนดจุดตัดขาดทุนที่ระดับแนวรับ/แนวต้านล่าสุดสำหรับตำแหน่งซื้อ/ขาย ด้วย

3. กลยุทธ์ SMA Crossovers + การสังเกตรูปแบบ Bearish Pennant

คราวนี้เรามาดูกลยุทธ์การติดตามแนวโน้มแบบ SMA 10 ช่วงเวลาและ 20 ช่วงเวลากันบ้างดีกว่า ซึ่งสูตรนี้จะนำมาใช้กับการเช็กแผนภูมิธงหมี ซึ่งจัดเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการระบุและซื้อขายในช่วงแนวโน้มขาลง โดยที่เราจะวางเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่าย 10 ชั่วโมงและ 20 ชั่วโมงบนแผนภูมิและมองหาการก่อตัวของธงหมี

ถ้าพบว่ามีการข้ามเส้นค่าเฉลี่ยอย่างง่าย SMA 10 ชั่วโมงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยอย่างง่าย SMA 20 ชั่วโมง และเกิดการทะลุผ่านจากขอบล่างของธงหมีอย่างชัดเจนแล้ว ก็สามารถพิจารณาเปิดสถานะขายได้เลย นอกจากนี้ระดับเหนือขอบบนของธงอาจทำหน้าที่เป็นจุดตัดขาดทุนได้

สรุป

กลยุทธ์การเทรดแบบ Trend Following หรือ การเทรดทำกำไรตามแนวโน้ม จัดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้กันทั่วไป โดยมุ่งเป้าไปที่การใช้เครื่องมือและรูปแบบแผนภูมิร่วมกันเพื่อค้นหาและยืนยันจุดเข้าและจุดออกที่แม่นยำ ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับรูปแบบการซื้อขายที่หลากหลายอื่น ๆ การทำกำไรในช่วงขาขึ้นและขาลงนั้นต้องอาศัยการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม และการป้องกันการเกิดการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นด้วย

SOURCE