“มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่” วลีที่แสดงให้เห็นถึงค่านิยมในทองคำซึ่งมีมาอย่างยาวนาน และเรียกได้ว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) ที่นักลงทุนส่วนใหญ่นิยมกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะเมื่อเกิดสภาวะผันผวนทางเศรษฐกิจ สภาวะสงคราม หรือการเมืองต่างๆ แต่ทั้งนี้หากไม่ศึกษาก่อนการลงทุน แทนที่จะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ก็เรียกได้ว่าเป็นสินทรัพย์เสี่ยงได้อยู่ดี ดังนั้นบทความนี้จะมาให้ข้อมูลการลงทุนทองในรูปแบบต่างๆ ข้อดี ข้อเสีย เพื่อให้พิจารณาได้ว่าแบบไหนเหมาะกับเรา
น้ำหนักทองคำที่นิยมลงทุน
1.) ทองคำ 96.5%
ประกอบด้วยทองคำ 96.5% อีก 3.5% เป็นแร่ธาตุอื่นผสมเพื่อการขึ้นรูปได้ดีขึ้น เป็นมาตรฐานที่ซื้อขายกันในประเทศไทย โดยหน่วยวัดของทอง คือ “บาททอง” และ 1 บาททองคำแท่งมีน้ำหนักประมาณ 15.244 กรัม ส่วนทองรูปพรรณ 1 บาท มีน้ำหนัก 15.16 กรัม
2.) ทองคำ 99.99%
ประกอบด้วยทองคำ 99.99% อีก 0.01% เป็นแร่ธาตุอื่นๆผสม ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ซื้อขายกันในตลาดโลก โดยหน่วยวัดของทอง คือ “ออนซ์ (OZ)” และ 1 ออนซ์มีน้ำหนักประมาณ 31.014 กรัม
การลงทุนทองที่นิยม ได้แก่
1.) ทองรูปพรรณ
ทองรูปพรรณในประเทศไทยที่นิยมซื้อคือทองน้ำหนัก 96.5% เหมาะกับผู้ที่ชอบสวมใส่เครื่องประดับ ดังเช่น สร้อยคอ แหวน กำไล ตุ้มหู แต่อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนหรือเก็งกำไรเพราะจะมีค่าใช้จ่ายแฝง เช่นค่ากำเหน็จหรือก็คือค่าแรงของช่างฝีมือที่ขึ้นรูปทำลวดลายต่างๆ ทำให้ราคาที่ซื้อทองนั้นจะถูกบวกค่ากำเหน็จเพิ่ม อีกทั้งส่วนต่างราคาซื้อกับราคาขายของทองรูปพรรณก็ค่อนข้างต่างกันมาก ตัวอย่างเช่นดังภาพ ราคาขาย 52,650.00 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท แต่ราคารับซื้อ 50,710.20 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท จะเห็นว่าต่างกันถึงเกือบ 2 พันบาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาทเลยทีเดียว
ข้อดีคือ สวมใส่ใช้งานได้ จับต้องได้จริง
ข้อเสียคือ ต้องมีสถานที่เก็บปลอดภัย เสี่ยงต่อการสูญหาย ต้องเสียเวลาเดินทางไปที่หน้าร้านทองเพื่อซื้อ-ขายทอง และซื้อที่ร้านใดก็ควรขายที่ร้านนั้นเพื่อไม่ให้ถูกกดราคา
2.) ทองคำแท่ง
เหมาะกับการลงทุนทองมากกว่าทองรูปพรรณ เพราะมีค่าใช้จ่ายแฝงน้อยกว่า คือไม่มีค่ากำเหน็จ แต่มีค่าบล็อกหรือค่าปั๊มตราของทางร้าน ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 100 – 400 บาท ขึ้นกับแต่ละร้าน และส่วนใหญ่หากซื้อทองคำแท่งน้ำหนัก 5 บาทขึ้นไปจะไม่เสียค่าบล็อก เมื่อขายคืนก็จะไม่ถูกหักค่าเสื่อมการใช้งานเหมือนทองรูปพรรณ ส่วนต่างราคาซื้อกับราคาขายของทองคำแท่งก็ต่างกันน้อย เช่นดังภาพ ราคาขายทองคำแท่ง 51,850 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท ราคารับซื้อ 51,750 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท ต่างกันเพียง 100 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท ดังนั้น หากซื้อมาลงทุน เมื่อราคาทองปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยก็สามารถขายแล้วทำกำไรได้รวดเร็วกว่า
ข้อดีคือ ใช้เป็นตัวแทนสะสมความมั่งคั่ง ชื่นชมได้จับต้องได้จริง
ข้อเสียคือ ต้องมีสถานที่เก็บที่ปลอดภัย เสี่ยงต่อการสูญหาย ไม่สามารถแบ่งขายได้ ต้องมีเงินก้อนใหญ่ในการซื้อแต่ละชิ้น
3.) เทรดทองออนไลน์
หรือการซื้อ-ขายทองแท่งในรูปแบบออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องเก็บทองจริงไว้กับตัว สามารถซื้อง่ายขายคล่องผ่านแอปพลิเคชัน เช่น
- แอปฯ GOLD NOW จาก ฮั่วเซ่งเฮง (ทอง96.5%), แอปฯ USD GOLD TRADE (ทองคำ99% ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ USD )
- Gold Wallet จาก แอปฯเป๋าตัง (ทอง5%, 99.99% มีทั้งสกุลเงินบาทและสกุลเงิน USD โดยสามารถซื้อขายทองกับ 3 ร้านทองคือ แม่ทองสุก, YLG, ARR Gold trading)
- แอปฯ Gold2Go จาก InterGold (ทอง96.5%)
โดยแต่ละแอปฯจะมีขั้นต่ำ เวลาเปิด-ปิดในการซื้อขาย และค่าธรรมเนียมโอนเงินผ่านแอปฯแตกต่างกันไป
อีกทั้งบางแอปฯก็มีให้เลือกออมทองได้ โดยการออมทองก็คือการซื้อทองโดยเริ่มต้นซื้อได้ด้วยจำนวนเงินขั้นต่ำตามกำหนด แล้วทยอยเก็บสะสมไปได้ตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพัน เมื่อสะสมไปเรื่อยๆจนครบตามเงื่อนไข ก็จะสามารถแลกทองจริงออกมาได้ ผ่านการส่งไปรษณีย์หรือรับตรงกับร้านทองที่เลือก ส่วนใหญ่สามารถรับทองได้เมื่อสะสมครบ 0.5-1 กรัมเป็นต้นไป ทั้งนี้จะเป็นไปตามเงื่อนไขของแต่ละร้าน
ข้อดีคือ ซื้อ-ขายสะดวกรวดเร็ว เหมาะแก่การทำกำไรระยะสั้น และไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนใหญ่
ข้อเสียคือ ต้องเลือกร้านทองหรือแพลตฟอร์มที่มีความน่าเชื่อถือ และควรศึกษาก่อนการลงทุนเพราะมีโอกาสขาดทุนได้ง่ายจากราคาที่ผันผวนระหว่างวัน
4.) กองทุนรวมทองคำ
คือ การลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในทองคำ มูลค่าหน่วยลงทุนจะเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลก เสมือนลงทุนในทองคำแท่งทางอ้อมผ่านกองทุนหลักในต่างประเทศ ซึ่งจะนำเงินไปลงทุนในทองคำแท่ง 99.99% หรือ 99.50% อีกทีหนึ่ง
ข้อดีคือ ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่มาก ซื้อขายสะดวก ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปร้านทอง และปลอดภัยเนื่องจากไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญหาย มีมืออาชีพคอยดูแลบริหารจัดการให้ และการซื้อขายทำได้โดยไม่ต้องซื้อหรือขายทองคำแท่งทั้งก้อน
ข้อเสียคือ มีค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการ จึงเหมาะกับการลงทุนระยะยาว หรือผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามราคาทองคำมากนัก
5.) ฟิวเจอร์สทองคำ (Gold Futures)
- Gold Futures หรือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำภายในประเทศที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำ มาตรฐานทองคำความบริสุทธิ์ 96.5% และอ้างอิงเป็นเงินบาทต่อน้ำหนักบาททองคำ โดยแบ่งออกเป็น 2 ขนาดตามน้ำหนักของทองคำ ได้แก่ น้ำหนัก 50 บาท และ 10 บาทสามารถเก็งกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลงของราคาทองคำ แต่ต้องเลือกให้ถูกทาง เพราะถ้าเลือกผิดทางก็ขาดทุนได้เช่นกัน
- Gold-D (GD) เป็นสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่อ้างอิงกับทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 99.99% และถูกกำหนดให้มีการชำระราคาด้วยการรับมอบและส่งมอบทองคำจริง (Physical Delivery) จึงเหมาะกับผู้ประกอบการทองคำหรือนักลงทุนที่ต้องการซื้อขายเพื่อเก็บทองคำไว้เป็นสินทรัพย์
- Gold Online Futures (GO) เป็นสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่อ้างอิงกับทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 99.5% และซื้อขายกันด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐต่อน้ำหนักทองคำ 1 ทรอยออนซ์ เช่นเดียวกับราคาทองคำในตลาดโลก จึงไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาเกี่ยวข้อง เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาทองคำโลกโดยตรงและไม่ต้องการรับมอบหรือส่งมอบทองคำ
ข้อดีคือ ใช้เงินลงทุนน้อย โอกาสทำกำไรสูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ใช้ สามารถกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง มีสภาพคล่องสูง สามารถเปิดและปิดสถานะได้ง่ายและรวดเร็ว
ข้อเสียคือ ความเสี่ยงสูง แม้ว่าโอกาสทำกำไรสูง โอกาสขาดทุนก็สูงด้วยเช่นกัน ต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการลงทุนทองคำรูปแบบต่างๆ แต่ทุกครั้งที่จะเริ่มลงทุนแบบใดก็ตาม เราควรต้องประเมินความเสี่ยงของตัวเราเองก่อนเริ่มลงทุน ตั้งเป้าหมายการลงทุนระยะยาวหรือระยะสั้น วงเงินที่ใช้ลงทุน เลือกแพลตฟอร์มหรือโบรกที่มีความน่าเชื่อถือ กำหนดจุดซื้อหรือจุดขายให้ชัดเจน หากไม่มีเวลาการ DCA ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่แย่สำหรับการจะลงทุนระยะยาว
บทสรุป
ทองคำมักเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับนักลงทุน ซึ่งปัจจุบันการลงทุนในทองคำก็มีหลายรูปแบบทั้งการซื้อทองรูปพรรณ ทองคำแท่ง กองทุนทองคำ ทองคำในรูปแบบดิจิทัล ฟิวเจอร์สทองคำ เป็นต้น และแม้ว่าทองคำจะเหมาะกับการใช้เป็นสินทรัพย์กระจายความเสี่ยง แต่ทองคำก็เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในตัวเองเช่นกัน ดังนั้นจึงควรศึกษาข้อมูลก่อนลงทุนทุกครั้ง
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
- YouTube: Than Money Trick
- https://www.setinvestnow.com