ในโลกของการเทรด Forex และตลาดการเงินระหว่างประเทศ มีหนึ่งกลยุทธ์ที่นักลงทุนสถาบันนิยมใช้มายาวนาน นั่นคือ Carry Trade หรือ กลยุทธ์ทำกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ซึ่งแม้จะไม่ใช่แนวทางที่มีกำไรระเบิดระเบ้อในระยะสั้น แต่สามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและต่อเนื่องได้หากใช้ถูกวิธีและในสภาวะตลาดที่เหมาะสม

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า Carry Trade คืออะไร ทำงานอย่างไร ทำไมถึงนิยมใช้ในตลาด Forex และสิ่งที่ควรรู้ก่อนนำกลยุทธ์นี้ไปใช้จริง

Carry Trade คืออะไร

Carry Trade คือกลยุทธ์การลงทุนที่อาศัย การกู้ยืมเงินในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์หรือสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนหรืออัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า เพื่อเก็บเกี่ยวกำไรจากส่วนต่างของดอกเบี้ยระหว่างสองประเทศ

ในตลาด Forex กลยุทธ์นี้มักอยู่ในรูปของการ ถือสถานะ Buy (Long) สกุลเงินที่มีดอกเบี้ยสูง และถือสถานะ Sell (Short) สกุลเงินที่มีดอกเบี้ยต่ำ

ผลตอบแทนที่ได้รับเรียกว่า Swap หรือ Roll-over Interest ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมหรือผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจากการถือออร์เดอร์ข้ามคืน

หลักการทำงานของ Carry Trade

  1. ผู้ลงทุนเลือก “คู่เงิน” ที่มีส่วนต่างดอกเบี้ยชัดเจน เช่น NZD/JPY
  2. ซื้อสกุลเงินที่มีดอกเบี้ยสูง (NZD) และขายสกุลเงินที่มีดอกเบี้ยต่ำ (JPY)
  3. ถือสถานะค้างคืนเพื่อรับรายได้จากส่วนต่างดอกเบี้ย (Swap)
  4. ยิ่งถือสถานะนาน และหากราคาขยับตามทิศทางด้วย จะยิ่งได้กำไรสองต่อ ทั้งจาก Swap และ Capital Gain

ตัวอย่าง Carry Trade ในตลาด Forex

สมมติว่า

  • ดอกเบี้ยนโยบายของนิวซีแลนด์ (NZD) = 5.5%
  • ดอกเบี้ยนโยบายของญี่ปุ่น (JPY) = 0.1%

หากเทรดเดอร์ซื้อคู่เงิน NZD/JPY เขาจะได้รับดอกเบี้ยสุทธิ = 5.5% – 0.1% = 5.4% (ต่อปี โดยเฉลี่ย)

โบรกเกอร์จะคำนวณค่า Swap ต่อวันให้โดยอัตโนมัติในหน่วยดอลลาร์ หรือหน่วยเงินตามบัญชี และบวกเข้าในยอดคงเหลือของบัญชีเทรดหากถือสถานะไว้ข้ามคืน

สินทรัพย์ที่เหมาะกับการทำ Carry Trade

  • คู่สกุลเงิน Forex ที่มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยชัดเจน เช่น
    • AUD/JPY
    • NZD/JPY
    • USD/TRY
    • MXN/JPY
  • สินทรัพย์ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่ให้ดอกเบี้ยสูง
  • กองทุนตราสารหนี้และ ETF ที่เน้นตลาดเกิดใหม่

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ Carry Trade

  1. อัตราดอกเบี้ยนโยบายของแต่ละประเทศ
  2. ความผันผวนของค่าเงิน
  3. สภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะแนวโน้มดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลัก
  4. นโยบายการเงิน (Monetary Policy) เช่น การขึ้นหรือลดดอกเบี้ย

ข้อดีของการใช้กลยุทธ์ Carry Trade

  • สร้างกระแสรายได้ต่อเนื่องแม้ราคาไม่เคลื่อนไหว
  • เหมาะกับการลงทุนระยะกลางถึงยาว
  • สามารถทำกำไรจากทิศทางราคาและจาก Swap พร้อมกัน
  • ใช้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยในสภาวะที่ไม่มีเทรนด์ชัดเจน

ความเสี่ยงของ Carry Trade

  • ความผันผวนของค่าเงิน: หากราคาขยับสวนทิศ อาจทำให้ขาดทุนจาก Capital Loss มากกว่ากำไรจาก Swap
  • นโยบายการเงินเปลี่ยนแปลง: หากประเทศที่ถือ Long มีการลดดอกเบี้ย จะส่งผลต่อกำไรจาก Swap
  • Leverage สูงเกินไป: อาจทำให้พอร์ตเกิดความเสียหายหากราคาผันผวนอย่างรุนแรง
  • ค่าธรรมเนียม Swap อาจเปลี่ยนตามตลาด: โดยเฉพาะในช่วงที่มีวิกฤตการเงิน

ข้อแนะนำสำหรับเทรดเดอร์ที่สนใจ Carry Trade

  • ศึกษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายของแต่ละประเทศอย่างสม่ำเสมอ
  • เลือกโบรกเกอร์ที่แสดงข้อมูล Swap อย่างโปร่งใส และคิดอัตรา Swap คงที่
  • หลีกเลี่ยงการถือออร์เดอร์ข้ามวันพุธ (เพราะคิดดอกเบี้ย 3 วัน) หากไม่แน่ใจ
  • พิจารณาความสัมพันธ์ของคู่เงินกับตลาดโลก เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือทิศทางของ USD
  • เริ่มต้นด้วยบัญชีทดลองเพื่อฝึกฝนและประเมินผล

สรุป

Carry Trade คือกลยุทธ์ที่ใช้การถือครองส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างประเทศมาเป็นเครื่องมือสร้างรายได้ในตลาดเงิน โดยเฉพาะในตลาด Forex การทำ Carry Trade อย่างมีวินัย สามารถเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องมีการเคลื่อนไหวของราคามากนัก

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการลงทุนรูปแบบอื่น ผู้ลงทุนควรศึกษาแนวโน้มเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด ติดตามการประชุมของธนาคารกลาง และบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ก่อนนำกลยุทธ์นี้ไปใช้งานจริง

Carry Trade ไม่ใช่สูตรลับรวยเร็ว แต่หากใช้ในจังหวะที่เหมาะสม มันคือหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการกระแสรายได้สม่ำเสมอจากตลาดการเงิน