การเทรด Option หรือ Options Trading เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่มีความยืดหยุ่นและสามารถสร้างผลตอบแทนสูงได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนในหุ้นทั่วไป หากคุณเป็นนักลงทุนที่ต้องการต่อยอดจากการลงทุนหุ้น หรือต้องการใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อนเพื่อบริหารความเสี่ยง การเทรด Option อาจเป็นคำตอบที่น่าสนใจ

Option คืออะไร?

Option (ออปชัน) คือ สัญญาซื้อขายสิทธิ ไม่ใช่ภาระผูกพัน ที่ให้ผู้ถือสัญญามีสิทธิ (แต่ไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิ) ในการ ซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ภายในช่วงเวลาที่กำหนด

สินทรัพย์อ้างอิงอาจเป็นหุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ ค่าเงิน หรือแม้แต่ ETF

Options แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:

1. Call Option – สิทธิในการซื้อ

ให้สิทธิผู้ถือในการ “ซื้อ” สินทรัพย์อ้างอิงที่ราคาที่กำหนด (Strike Price)

2. Put Option – สิทธิในการขาย

ให้สิทธิผู้ถือในการ “ขาย” สินทรัพย์อ้างอิงที่ราคาที่กำหนด

ผู้ซื้อ Option จ่าย “Premium” หรือราคาค่าสิทธิให้กับผู้ขาย โดยถือว่า Premium เป็นต้นทุนในการเปิดสัญญา

กลยุทธ์การเทรด Option เบื้องต้น

  • ซื้อ Call Option
  • ขาย Call Option
  • ซื้อ Put Option
  • ขาย Put Option

1. ซื้อ Call Option (Buy Call)

แนวคิด:

ผู้ซื้อ Call Option มีสิทธิในการ ซื้อหุ้นในราคาที่กำหนดไว้ (Strike Price) ก่อนวันหมดอายุของสัญญา โดยหวังว่า ราคาหุ้นจะสูงขึ้น ก่อนที่ Option จะหมดอายุ

เหมาะกับ:

นักลงทุนที่ คาดว่าราคาหุ้นจะขึ้น (Bullish)

ความเสี่ยง:

จำกัดเพียงแค่ค่า Premium ที่จ่ายไป

ตัวอย่าง:

นักลงทุนซื้อ Call Option ของหุ้น A ที่มี Strike Price = 100 บาท จ่ายค่า Premium 5 บาท

  • หากราคาหุ้น A ขึ้นเป็น 120 บาทก่อนหมดอายุ
    → นักลงทุนสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นในราคา 100 แล้วขายที่ 120 ได้กำไร 20 – 5 = 15 บาทต่อหุ้น

  • หากราคาหุ้นไม่เกิน 100 บาท
    → นักลงทุนจะไม่ใช้สิทธิ และขาดทุนแค่ 5 บาท (ค่า Premium)

2. ขาย Call Option (Sell Call)

แนวคิด:

ผู้ขาย Call Option รับค่า Premium ล่วงหน้า และมีหน้าที่ส่งมอบหุ้นถ้าผู้ซื้อใช้สิทธิ โดยหวังว่า ราคาหุ้นจะไม่ขึ้นเกิน Strike Price

เหมาะกับ:

นักลงทุนที่ คาดว่าราคาหุ้นจะไม่ขึ้นมาก หรือเคลื่อนไหวในกรอบ (Neutral to Bearish)

ความเสี่ยง:

ไม่จำกัด หากราคาหุ้นพุ่งขึ้นสูงมาก

ตัวอย่าง:

นักลงทุนขาย Call Option ของหุ้น B ที่ Strike Price = 100 บาท รับ Premium 5 บาท

  • หากราคาหุ้น B อยู่ต่ำกว่า 100 บาทก่อนหมดอายุ
    → ผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิ → นักลงทุนเก็บ กำไรเต็ม 5 บาท

  • หากราคาหุ้น B พุ่งไปถึง 120 บาท
    → นักลงทุนต้องขายหุ้นให้ผู้ซื้อในราคา 100 บาท (ต่ำกว่าตลาด) ขาดทุน 20 – 5 = 15 บาทต่อหุ้น

หมายเหตุ: ถ้าไม่มีหุ้นในมือ จะเรียกว่า “Naked Call” ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมาก

3. ซื้อ Put Option (Buy Put)

แนวคิด:

ผู้ซื้อ Put Option มีสิทธิในการ ขายหุ้นในราคาที่กำหนดไว้ (Strike Price) โดยหวังว่า ราคาหุ้นจะลดลง ก่อน Option หมดอายุ

เหมาะกับ:

นักลงทุนที่ คาดว่าราคาหุ้นจะตก (Bearish)

ความเสี่ยง:

จำกัดที่ค่า Premium เท่านั้น

ตัวอย่าง:

นักลงทุนซื้อ Put Option ของหุ้น C ที่ Strike Price = 100 บาท จ่ายค่า Premium 5 บาท

  • หากราคาหุ้น C ลดลงเป็น 80 บาท
    → นักลงทุนสามารถใช้สิทธิขายในราคา 100 บาท ได้กำไร 100 – 80 – 5 = 15 บาทต่อหุ้น

  • หากราคาหุ้นไม่ลดต่ำกว่า 100 บาท
    → ไม่ใช้สิทธิ → ขาดทุนเพียงค่า Premium = 5 บาท

4. ขาย Put Option (Sell Put)

แนวคิด:

ผู้ขาย Put Option รับค่า Premium และมีหน้าที่รับซื้อหุ้น ถ้าผู้ซื้อใช้สิทธิ โดยหวังว่า ราคาหุ้นจะไม่ตกต่ำกว่า Strike Price

เหมาะกับ:

นักลงทุนที่เชื่อว่าราคาหุ้นจะ ไม่ลดลงมากนัก (Neutral to Bullish)

ความเสี่ยง:

หากราคาหุ้นร่วงหนัก อาจขาดทุนสูง

ตัวอย่าง:

นักลงทุนขาย Put Option ของหุ้น D ที่ Strike Price = 100 บาท รับ Premium 5 บาท

  • หากราคาหุ้น D อยู่เหนือ 100 บาท
    → ไม่มีใครใช้สิทธิขาย → นักลงทุน เก็บกำไรเต็ม 5 บาท

  • หากราคาหุ้น D ลดลงเหลือ 80 บาท
    → นักลงทุนต้องซื้อหุ้นในราคา 100 บาท (แพงกว่าราคาตลาด) ขาดทุน 20 – 5 = 15 บาทต่อหุ้น

กลยุทธ์การเทรด Option อื่นๆ

Straddle

  • เหมาะกับ: ตลาดที่คาดว่าจะผันผวนแรง แต่ไม่แน่ใจทิศทาง
  • วิธีทำ: ซื้อ Call + ซื้อ Put ที่ราคา Strike เดียวกัน และวันหมดอายุเดียวกัน
  • ขาดทุน: ถ้าราคาหลักทรัพย์ไม่เคลื่อนไหวมากพอ

Strangle

  • เหมาะกับ: ตลาดผันผวนที่ไม่รู้จุด breakout แน่ชัด
  • วิธีทำ: ซื้อ Call + ซื้อ Put แต่ต่างราคา Strike
  • ราคาต้องเคลื่อนไหวแรงกว่ากลยุทธ์ Straddle ถึงจะกำไร

Covered Call

  • เหมาะกับ: ผู้ถือหุ้นอยู่แล้ว และต้องการรายได้เพิ่ม
  • วิธีทำ: ถือหุ้น + ขาย Call Option บนหุ้นนั้น
  • ข้อจำกัด: ถ้าหุ้นขึ้นเกิน Strike จะต้องขายหุ้นนั้นตามสัญญา

Protective Put

  • เหมาะกับ: ผู้ที่ต้องการป้องกันขาลง (hedging)
  • วิธีทำ: ถือหุ้น + ซื้อ Put Option บนหุ้นนั้น
  • เสมือน “ประกันภัย” หากราคาหุ้นตกแรง

Bull Call Spread

  • เหมาะกับ: มองว่าราคาจะขึ้นในระดับจำกัด
  • วิธีทำ: ซื้อ Call ที่ Strike ต่ำ + ขาย Call ที่ Strike สูง
  • ลดต้นทุน แต่จำกัดกำไร

Bear Put Spread

  • เหมาะกับ: มองว่าราคาจะลงในระดับจำกัด
  • วิธีทำ: ซื้อ Put ที่ Strike สูง + ขาย Put ที่ Strike ต่ำ

Iron Condor

  • เหมาะกับ: ตลาด Sideway ไม่เคลื่อนไหวแรง
  • วิธีทำ: ผสมการขาย Strangle + ซื้อ Strangle ป้องกันความเสี่ยง
  • ต้องควบคุม Time Decay และ Volatility ดีๆ

Butterfly Spread

  • เหมาะกับ: คาดว่าราคาจะอยู่แคบๆ ใกล้กับ Strike กลาง
  • วิธีทำ: ใช้ Call หรือ Put 3 ชุดในรูปแบบ ซื้อ-ขาย-ซื้อ