ในยุคที่การเทรด Forex ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติมากขึ้น หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่นักเทรดจำนวนมากเลือกใช้ก็คือ EA หรือ Expert Advisor ซึ่งก็คือโปรแกรมเทรดอัตโนมัติที่สามารถเปิด ปิด หรือจัดการออเดอร์แทนนักเทรดได้อย่างมีระบบ EA จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความเครียด ประหยัดเวลา และลดอคติทางอารมณ์ในการเทรด
แต่รู้หรือไม่ว่า EA มีหลายประเภท และแต่ละประเภทก็เหมาะกับสไตล์การเทรดที่ต่างกันออกไป บทความนี้จะพามาทำความเข้าใจว่า EA มีกี่ประเภท พร้อมอธิบายอย่างละเอียดเพื่อให้เลือกใช้ได้เหมาะกับกลยุทธ์ของตัวเอง
1. Trend Following EA (EA ตามเทรนด์)
EA ประเภทนี้จะเปิดออเดอร์ตามแนวโน้มของตลาด เช่น หากตลาดอยู่ในขาขึ้น EA ก็จะเปิดออเดอร์ Buy และในขาลงก็จะเปิดออเดอร์ Sell โดยทั่วไปจะใช้อินดิเคเตอร์แนวเทรนด์ เช่น Moving Average, MACD หรือ ADX เพื่อยืนยันสัญญาณ
ข้อดีของ Trend Following EA คือสามารถทำกำไรได้ดีในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน และลดความเสี่ยงจากการเทรดสวนทางกับตลาด อย่างไรก็ตาม ถ้าตลาดอยู่ในช่วง Sideway หรือไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน EA ประเภทนี้อาจสร้างสัญญาณหลอกได้
2. Counter-Trend EA (EA สวนเทรนด์)
ตรงข้ามกับ Trend Following EA EA ประเภทนี้มักจะเปิดออเดอร์เมื่อมองว่าตลาดกำลังจะกลับตัว เช่น เมื่อ RSI เข้าสู่โซน Overbought หรือ Oversold หรือเมื่อราคาทะลุแนวรับแนวต้านชั่วคราว
ข้อดีของ EA สวนเทรนด์คือสามารถจับจังหวะกลับตัวได้ก่อนที่ราคาจะเคลื่อนที่แรงๆ แต่มีความเสี่ยงสูงหากเข้าออเดอร์เร็วเกินไป หรือราคายังไม่กลับตัวจริง
3. Scalping EA (EA เก็บกำไรสั้น)
Scalping EA จะเปิด-ปิดออเดอร์ในระยะเวลาสั้นๆ โดยหวังกำไรเพียงไม่กี่จุด (pip) ต่อครั้ง ส่วนใหญ่มักทำงานในกรอบเวลาเล็ก เช่น M1 หรือ M5 ใช้หลักการความเร็วและความแม่นยำสูง มักตั้ง SL และ TP ไว้ใกล้ๆ
Scalping EA เหมาะกับตลาดที่เคลื่อนไหวเร็ว แต่ต้องใช้ร่วมกับโบรกเกอร์ที่ Spread ต่ำ ไม่มีการดีเลย์ และควรติดตั้งบน VPS เพื่อความเสถียร
4. Martingale EA (EA ทบไม้)
EA ประเภทนี้จะเพิ่มขนาด Lot ทุกครั้งที่เกิดการขาดทุน โดยหวังว่าเมื่อราคากลับมาทางเดิม จะสามารถปิดออเดอร์ทั้งหมดพร้อมกำไรจากการทบไม้ การทำงานของ EA ประเภทนี้สามารถทำให้พอร์ตเติบโตเร็ว แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะล้างพอร์ตหากเจอเทรนด์แรงๆ แบบไม่ยอมหยุด
Martingale เหมาะกับตลาด Sideway หรือการเทรดระยะสั้นที่สามารถควบคุมความเสี่ยงได้ แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวังอาจเป็นหายนะสำหรับพอร์ตการลงทุน
5. Grid EA (EA แบบตาราง)
Grid EA จะเปิดออเดอร์ในลักษณะ “ตาราง” ทั้ง Buy และ Sell ที่จุดราคาห่างกันเป็นระยะ โดยไม่คำนึงถึงทิศทางของราคา เน้นใช้กำไรจากความผันผวนและการเคลื่อนไหวของราคากลับไปกลับมา
Grid EA มักไม่ใช้ Stop Loss และเน้นเฉลี่ยราคาแทน จุดเด่นคือสามารถสร้างกำไรได้เรื่อยๆ ในตลาดที่แกว่งตัว แต่หากเกิดเทรนด์แรงๆ แล้วไม่มีการควบคุมออเดอร์ที่ดี ก็มีโอกาสขาดทุนมหาศาลเช่นกัน
6. News Trading EA (EA เทรดข่าว)
EA ประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเทรดในช่วงที่มีข่าวสำคัญ โดยจะเปิด Pending Order ก่อนเวลาข่าว หรือใช้การตรวจจับความเร็วของราคาเพื่อเข้าออเดอร์ในจังหวะที่ข่าวเริ่มส่งผล
จุดเด่นคือสามารถสร้างกำไรจากความผันผวนอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องอาศัยโบรกเกอร์ที่ให้การเชื่อมต่อเร็ว ไม่มี Slippage มาก และควรใช้ร่วมกับ VPS เพื่อความเสถียรในการทำงาน
7. Custom Strategy EA (EA กลยุทธ์เฉพาะตัว)
EA กลุ่มนี้จะถูกออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะตามไอเดียของผู้พัฒนา อาจรวมหลายกลยุทธ์ไว้ในตัวเดียว เช่น ใช้ MACD + RSI + Time Filter หรืออาจใช้ระบบ Risk Management ซับซ้อน เช่น Fixed % Risk, Break-even, Partial Close
ข้อดีคือสามารถปรับให้เข้ากับสไตล์ของผู้ใช้งานได้อย่างอิสระ หากเขียนโค้ดเองไม่เป็น สามารถใช้เครื่องมือสร้าง EA แบบ No-Code อย่าง FxDreema หรือ EA Builder แทนได้
สรุป
EA Forex แบ่งออกเป็นหลายประเภทตามแนวทางการทำงาน เช่น ตามเทรนด์ สวนเทรนด์ สเกลป์ปิ้ง ทบไม้ ข่าว หรือระบบเฉพาะตัว การเลือกใช้ EA ให้เหมาะสมกับลักษณะตลาดและสไตล์การเทรดของเราเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การใช้งาน EA มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น
ไม่ว่าเราจะเป็นมือใหม่หรือเทรดเดอร์ระดับมืออาชีพ การทำความเข้าใจประเภทของ EA เหล่านี้คือจุดเริ่มต้นสำคัญในการนำระบบเทรดอัตโนมัติมาช่วยเสริมความสามารถในการเทรดของคุณอย่างแท้จริง