Highlight

  • Demand Supply Zone คือบริเวณในตลาดที่เกิดการซื้อหรือขายอย่างมีนัยสำคัญจนทำให้ราคาขยับอย่างแรงในอดีตโดยโซนนี้มักเป็นจุดที่ Smart Money ใช้ในการเปิดออเดอร์
  • Demand Zone คือจุดที่ราคาขึ้นจากแรงซื้อ ส่วน Supply Zone คือจุดที่ราคาลงจากแรงขาย สามารถแบ่งได้ 2 แบบคือ Reversal (เปลี่ยนทิศทางของราคา) และ Continuation (ตามเทรนด์เดิม)
  • ใช้ BoS เพื่อยืนยันโซนที่แข็งแกร่งหลังจากราคาทะลุจุดสำคัญ และ FVG ช่วยให้มั่นใจว่าโซนมีความสมดุลและสามารถทำกำไรได้ และอย่าลืมวาดโซนใน Timeframe ใหญ่ก่อนเพื่อความแม่นยำ
  • ใช้ Buy Limit หรือ Sell Limit ที่โซนเพื่อเข้าสู่ตลาด วาง Stop Loss ใต้ Demand Zone หรือเหนือ Supply Zone เพื่อป้องกันการขาดทุน ตั้ง Take Profit ที่ระดับ Swing High/Low ด้วย Risk:Reward ที่ดี

ทำความรู้จัก Demand & Supply Zone แบบ Technical

  • Demand Zone คือบริเวณที่มี Aggressive Buying เกิดขึ้น แปลว่ามี Buy Limit Order วางไว้เยอะมาก จนทำให้ราคาดีดขึ้นแรงในอดีต
  • Supply Zone คือจุดที่มี Aggressive Selling หรือแรงขายจำนวนมากรออยู่ ราคาเด้งลงชัดเจนหลังแตะโซน
  • ทั้ง 2 โซนมักเป็นบริเวณที่เทรดเดอร์รายใหญ่ หรือ Smart Money เข้ามาเปิดออเดอร์ จึงกลายเป็น “โซนที่น่าสนใจ” นั่นเองครับ

รูปแบบการกลับตัวของ Demand Supply Zone

Reversal Patterns การเปลี่ยนทิศทางของราคา

การเปลี่ยนทิศทางของราคาแบ่งออกเป็น Drop Base Rally คือกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น และ Rally Base Drop คือกลับจากขาขึ้นเป็นขาลง

  • Drop Base Rally
    • Drop: เริ่มจากราคาลงแรงๆ หรือการขายที่หนัก แสดงว่ามีแรงเทขายในตลาด
    • Base: จากนั้นราคามาชะลอตัว พักฐานและสะสมแรงในช่วงนี้ (เหมือนราคานิ่งๆ หลังจากแรงขาย)
    • Rally: ราคากกลับตัวอย่างชัดเจน เป็นสัญญาณว่าแรงซื้อกลับเข้ามา “เริ่มคุมเกม”
    • เป็นจุดที่ Smart Money เข้ามาเก็บออเดอร์สะสมไว้ มักกลายเป็น Demand Zone ที่เทรดเดอร์สามารถตั้ง Buy Limit ได้
  • Rally Base Drop
    • Rally: ราคาเริ่มขึ้นแรงๆ จนเป็น Rally
    • Base: แล้วราคากลับมาพักฐานที่สะสมออเดอร์ ซึ่งอาจเป็นช่วงที่เทรดเดอร์รายใหญ่กำลังขายออกไป
    • Drop: ราคาทุบลงหนักๆ (การขายเข้ามาเยอะ) เป็นสัญญาณของแรงขายที่กลับมา
    • ตั้ง Sell Limit ที่กลางถึงปลายโซนพร้อม SL ด้านบนของโซน Base นี้จะกลายเป็น Supply Zone ที่สำคัญในการเข้าสู่ตลาด

Continuation Patterns ราคายังตามเทรนด์เดิม หลังจากพักตัวช่วงสั้นๆ

ราคามีการพักตัวก่อนจะไปตามเทรนด์เดิมแบ่งออกเป็น Rally Base Rally ราคาพักตัวจากขาขึ้นและขึ้นต่อ และ Drop Base Drop ราคาพักตัวจากขาลงและลงต่อ

  • Rally Base Rally
    • Rally: ราคาเริ่มวิ่งขึ้นต่อเนื่องแสดงถึงเทรนด์ขาขึ้นที่แข็งแรง
    • Base: ราคามีการมาพักฐาน ก่อนที่จะเบรกขึ้นไปต่ออีก
    • Rally: แรงซื้อยังไม่หมดและยังมีโอกาสที่จะพุ่งขึ้นไปอีก
    • ใช้ Demand Zone ที่อยู่ใน Base เป็นจุด Entry Buy ที่ดี
  • Drop Base Drop
    • Drop: เริ่มจากราคาร่วงลงแรงๆ แสดงถึงเทรนด์ขาลงที่ชัดเจน
    • Base: ราคาพักตัว จากนั้นก็ร่วงต่อไป
    • Drop: การร่วงต่อเนื่องแบบชัดเจนบ่งบอกว่าแรงขายยังมีอยู่
    • ใช้ Supply Zone ที่ Base เพื่อเข้า Sell ตามเทรนด์ขาลงตั้ง TP ตาม Swing Low

เคล็ดลับการใช้งาน Demand Supply Patterns อย่างแม่นยำ

1. ใช้ Demand Supply ที่เกิดหลัง Break of Structure

ใช้โซน Demand/Supply ที่เกิดหลัง BOS จะทำให้เป็นโซนที่แม่นยำมากขึ้น

  • BoS (Break of Structure) คือการที่ราคาทะลุ High หรือ Low ที่สำคัญในอดีต ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงใน โครงสร้างของตลาด ที่เกิดขึ้น
  • โซนที่ดีต้องเกิดหลังจาก BoS: เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นจุดที่ตลาดเริ่มมีกระแสแรงซื้อหรือขายจริงถ้าโซนเกิดขึ้นโดยไม่มี BoS รองรับ โซนนั้นอาจเป็นแค่การพักตัวชั่วคราว ไม่ใช่การกลับตัวที่ชัดเจน
  • ตัวอย่าง: หากราคาเกิด Drop–Base–Rally และราคาดีดขึ้นไป ทะลุ High ก่อนหน้า นั่นคือ Demand Zone ที่น่าเชื่อถือมากกว่าโซนที่ไม่สามารถสร้าง High ใหม่ได้

2. ใช้ FVG (Fair Value Gap) และ Imbalance เพื่อยืนยันโซน

เทรดเดอร์สามารถใช้โซน FVG เพื่อยืนยันจุดเข้าเทรดได้ เพราะกราฟอาจมีการกลับมาเติมช่องว่าง (GAP) ที่สร้างไว้

  • FVG หรือ Fair Value Gap คือช่องว่างราคาที่เกิดขึ้นในกราฟเมื่อราคาเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและเกิดความไม่สมดุลในตลาด
  • Imbalance หมายถึงการที่ตลาดเคลื่อนไหวเร็วเกินไปจนไม่สามารถเติมเต็มราคาได้ทัน อาจทำให้เกิดการกลับตัวเมื่อราคากลับมาเติมเต็มช่องว่างหรือปิด Imbalance
  • การกลับมาเติมเต็ม FVG ที่อยู่ในโซนจะเป็นจุดที่น่าเข้าออเดอร์ เนื่องจากมันแสดงให้เห็นถึง การกลับมาเติมความสมดุลในตลาดนั่นเองครับ
  • ทริคการใช้ FVG: ใช้จุดกึ่งกลาง FVG เป็นจุดอ้างอิงในการตั้ง Pending Order จะเห็นได้ว่าวิธีนี้จะช่วยให้ลดการโดนลาก SL และทำให้หาจุดเข้าได้แคบและแม่นยำมากขึ้นนั่นเอง

3. วาดโซนจาก Timeframe ใหญ่ก่อน

  • เริ่มจากการวาด Demand/Supply Zone ใน Timeframe ใหญ่ เช่น D1 หรือ H4 เพื่อดู บริบทของตลาด และโครงสร้างหลัก
  • จากนั้น ไปยัง TF ย่อย เช่น M15 หรือ M5 เพื่อหาจุดเข้า และ SL ที่แม่นยำ มากขึ้น
  • โซนที่แม่นยำจะช่วยให้วาง Stop Loss ได้แคบลง และทำให้ Risk:Reward ดีขึ้น (เช่น 1:3, 1:5 หรือมากกว่า)

4. เทรดตามโครงสร้าง

การเทรดตาม โครงสร้างของตลาด คือการเทรดไปตามแนวโน้มหลักที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มอง ทำให้สามารถ เพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้มากขึ้นนั่นเองครับ

  • อย่าลืมว่า บริบทของตลาด สำคัญกว่ารูปร่างของโซน! แม้ว่าจะเห็นโซนที่ดูดีและน่าจะกลับตัวได้ แต่ถ้ามันสวนทางกับทิศทางหลักของตลาด เราก็ไม่ควรรีบร้อนที่จะเข้าเทรด
  • ให้มองตลาดในมุมกว้างว่าทิศทางหลักของตลาดเป็นอย่างไร แล้วเลือกโซนที่สอดคล้องกับเทรนด์นั้นๆ

เทคนิคการเข้าเทรดด้วย Demand Supply Zone

ตั้งจุดเข้าเทรดที่ Demand/Supply และตั้ง SL เลยออกมาเพื่อกันความเสี่ยงที่ราคาจะเหวี่ยงและอย่าลืมดู Timeframe ใหญ่เพื่อเพิ่มความแม่นยำมากขึ้น

  • Entry Setups
    • Limit Entry: วาง Buy Limit หรือ Sell Limit ที่โซน Supply/Demand ที่ได้วาดไว้ล่วงหน้า
    • Confirmation Entry: รอให้กราฟมีการยืนยันก่อนเข้าซื้อ/ขาย เช่น การเกิด Engulfing, Pin Bar, หรือ Break of Structure (BoS)
  • Stop Loss (SL)
    • วาง Stop Loss อยู่ใต้ Demand Zone หรือเหนือ Supply Zone เพื่อป้องกันการหลุดโซนที่มีความเสี่ยงสูง
    • ถ้าใช้ Confirmation Entry วาง SL ที่จุดต่ำสุด/สูงสุดของแท่งเทียนที่ยืนยันสัญญาณนั้นๆ
  • Take Profit (TP)
    • ตั้ง Take Profit ที่ระดับ Swing High/Low หรือที่ แนวโครงสร้างราคาที่สำคัญ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
    • อย่าลืมใช้ Risk-Reward ให้เหมาะสมเช่น 1:2 หรือ 1:3 เพื่อให้ผลตอบแทนจากการเทรดในระยะยาวคุ้มค่าและเห็นผลมากขึ้น
  • ทริคเพิ่มเติม: การใช้ Break of Structure (BoS) เป็นตัวช่วยยืนยันการเปลี่ยนแปลงในทิศทางของราคาและลดความเสี่ยงจากการหลอกลวงในช่วงโซนที่ไม่แข็งแรง

บทสรุปสำหรับ Demand Supply Zone

การใช้ Demand Supply Zone ในการเทรด Forex ไม่ได้เป็นแค่การลากกรอบเพียงอย่างเดียว แต่คือการเข้าใจพฤติกรรมราคาและกลยุทธ์ของ Smart Money ที่มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวของตลาด การศึกษารูปแบบต่างๆ เช่น Drop–Base–Rally หรือ Rally–Base–Drop จะช่วยให้เทรดเดอร์รู้จังหวะในการเข้าออเดอร์ได้อย่างแม่นยำมากขึ้นนั่นเองครับ

แหล่งข้อมูลอ้างอิง