Highlight
- Imbalance (ความไม่สมดุลของคำสั่งซื้อขาย) คือ ภาวะที่ฝั่งซื้อ (Buyers) หรือฝั่งขาย (Sellers) มีอิทธิพลเหนือกว่าอีกฝั่งหนึ่งอย่างชัดเจน จนทำให้ราคาวิ่งไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว
- Imbalance สามารถแบ่งประเภทได้เป็น Bullish Imbalance แรงซื้อมากผิดปกติ และ Bearish Imbalance แรงขายมากผิดปกติ
- ความแตกต่างระหว่าง Imbalance และ Fair Value Gap (FVG) คือ Imbalance เน้นการวิเคราะห์พฤติกรรมของ “แรงซื้อขาย” ที่ไม่สมดุล ขณะที่ FVGคือช่องว่างที่เกิดขึ้นจากแท่งเทียน 3 แท่ง และแสดงถึงช่วงราคาที่ไม่มีการเทรดหรือคำสั่งขาดหายไป
- วิธีใช้ Imbalance ในการเทรดคือการใช้เป็นจุดเข้าเทรด (Entry Zone) และสามารถใช้ร่วมกับ Order Block ได้อีกด้วย
- ข้อควรระวังในการใช้ Imbalance คือไม่ใช่ทุกโซน Imbalance จะมีผลเสมอ ต้องพิจารณาปัจจัยร่วมอื่นๆ เช่น Market Structure เพื่อไม่ให้หลงเชื่อแค่สัญญาณจุดเดียว
Imbalance คืออะไร
Imbalance คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่เทรดเดอร์ระดับมืออาชีพและสาย Smart Money Concept (SMC) ใช้ในการวิเคราะห์ตลาด โดยเฉพาะเมื่อต้องการหาจุดเข้าออกที่มีประสิทธิภาพ และตามรอยสถาบัน (Institutional Order Flow) ให้ทัน
ความหมายของ Imbalance ในตลาด Forex
- เป็นช่วงที่ ผู้ขายไม่เพียงพอสำหรับผู้ซื้อ หรือ ผู้ซื้อไม่เพียงพอสำหรับผู้ขาย จึงเกิดแรงผลักให้ราคาเคลื่อนที่แบบฉับพลันนั่นเองครับ
- มักพบในช่วงข่าวแรง หรือช่วงที่สถาบันการเงินเข้ามาสะสม/ปล่อยออเดอร์ขนาดใหญ่
- ราคาที่เคลื่อนไหวผ่านบริเวณนั้นไปอย่างรวดเร็วมักทิ้ง ช่องว่าง (Gap) หรือโซนที่ราคายังไม่ถูกซื้อขายจริง
- จุดสำคัญของ Imbalance ที่ต้องจำ!
- ราคาเคลื่อนที่เร็วผิดปกติ
- ไม่มีแรงซื้อ/ขายมาต้านกลับ
- มักเกิดในช่วงข่าวแรงหรือมีการเข้าออเดอร์ขนาดใหญ่
- เป็นโซนที่ราคามีโอกาส “กลับมาทดสอบ” ในอนาคต
ลักษณะของ Imbalance
Imbalance คือการที่ราคาเคลื่อนที่แรงในทิศทางเดียว
- ราคาเคลื่อนที่แรงและเร็วในทิศทางเดียว: บ่งบอกถึงแรงซื้อหรือแรงขายที่เหนือกว่าฝั่งตรงข้ามแบบชัดเจน ทำให้ราคาพุ่งขึ้นหรือลงโดยไม่มีการชะลอหรือแกว่งตัวระหว่างทาง
- แท่งเทียนมีขนาดใหญ่และผิดปกติจากแท่งก่อนหน้า: สะท้อนว่าเกิดคำสั่งซื้อหรือขายขนาดใหญ่ในช่วงเวลานั้น ทำให้แท่งเทียนยาวและโดดเด่น
- แท่งเทียนปิดใกล้จุดสูงสุด (High) หรือจุดต่ำสุด (Low): แสดงว่าแรงฝั่งที่ชนะยังควบคุมตลาดจนถึงจุดสิ้นสุดของแท่งเทียน โดยไม่ถูกดึงกลับจากฝั่งตรงข้าม
- ช่วงราคาถูกข้ามหรือทะลุผ่านไปอย่างรวดเร็ว: บริเวณราคานั้นไม่มีคำสั่งซื้อขายสะสม ทำให้เกิดการ “ข้ามโซน” แบบรวดเร็วโดยไม่พักตัว
ประเภทของ Imbalance
Imbalance หรือ ความไม่สมดุลระหว่างฝั่งซื้อและฝั่งขาย ที่เกิดขึ้นเมื่อแรงจากฝั่งใดฝั่งหนึ่ง “มากกว่า” อีกฝั่งอย่างชัดเจนเช่น แห่เข้าซื้อพร้อมกันจนราคาดีดขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือเทขายจนราคาดิ่งรุนแรงแบ่งได้ 2 แบบหลักๆคือ
- Bullish Imbalance หรือ “แรงซื้อมากผิดปกติ”
- Bearish Imbalance หรือ “แรงขายมากผิดปกติ”
- แต่ในมุมมองของเทรดเดอร์มืออาชีพ โดยเฉพาะสายที่ใช้ Order Flow หรือการอ่านพฤติกรรมตลาดจากการดูออเดอร์จริงๆ ยังมีประเภท Imbalance ที่ “ลึก” และ “ซ่อนความนัย” ไว้มากกว่านั้น เช่น
- Stacked Imbalance: สะท้อนแรงตลาดต่อเนื่องที่มักมาจากรายใหญ่
- Inverse Imbalance: ช่องโหว่ของแรงที่หายไป ซึ่งอาจกลายเป็นจุดกลับตัว
Bullish Imbalance แรงซื้อมากผิดปกติ
Bullish Imbalance คือการที่ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
- แท่งเทียนเขียวยาว ปิดใกล้ High
- ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
- บ่งบอกว่าฝั่งซื้อควบคุมตลาด
Bearish Imbalance แรงขายมากผิดปกติ
Bearish คือการที่ราคาร่วงลงอย่างรวดเร็ว
- แท่งเทียนแดงยาว ปิดใกล้ Low
- ราคาร่วงลงอย่างรวดเร็ว
- สะท้อนพลังของฝั่งขาย
ความต่างระหว่าง Imbalance และ Fair Value Gap (FVG)
แม้ว่า Imbalance และ FVG จะดูคล้ายกัน เพราะทั้งคู่เกี่ยวกับ “ความผิดปกติของราคา” และใช้กันมากในแนวคิด Smart Money Concept แต่ทั้งสองอย่างนี้ มีจุดต่างกันชัดเจนทั้งในแนวคิดและวิธีดูบนกราฟ
Imbalance ความไม่สมดุลของแรงซื้อขาย
Imbalance คือการที่มีแรงซื้อขายมากผิดปกติทำให้ราคาไม่สมดุล ไม่มีโครงสร้างตายตัว
- เกิดจากแรงซื้อหรือแรงขายที่มากผิดปกติ: ราคาพุ่งขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว เพราะฝั่งตรงข้ามไม่มีคำสั่งมารองรับ เช่น มีแรงซื้อรุนแรง แต่ไม่มีคนขาย ราคาจึงพุ่งขึ้นทันที
- สะท้อนถึงความไม่สมดุลระหว่าง Demand และ Supply: เป็นช่วงที่ฝั่งหนึ่งของตลาด (ผู้ซื้อหรือผู้ขาย) มีพลังเหนือกว่าอีกฝั่งอย่างชัดเจน
- ไม่มีโครงสร้างตายตัวของแท่งเทียน: อาจเกิดได้ใน 1 หรือหลายแท่งต่อเนื่อง ใช้วิเคราะห์จากพฤติกรรมของแท่งเทียนโดยรวม เช่น ความยาว ไส้เทียน และจังหวะการเคลื่อนที่
- เป็น “พฤติกรรมราคา” มากกว่ารูปแบบทางเทคนิค: ใช้เพื่อวิเคราะห์แรงตลาดเบื้องหลัง ไม่ได้ยึดโครงสร้างรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตายตัว
Fair Value Gap ช่องว่างของราคาที่เกิดจากการเคลื่อนที่ผิดปกติ
Fair Value Gap คือช่องว่างระหว่างแท่งเทียน โครงสร้างแท่งเทียน 3 แท่งติดต่อกัน
- Fair Value Gap เกิดจากโครงสร้างแท่งเทียน 3 แท่งเรียงต่อกัน
- แท่งที่ 1: เริ่มต้นการเคลื่อนไหวแรง เช่น แท่งเขียวใหญ่ในแนวขาขึ้น
- แท่งที่ 2: แท่งเทียนกลาง เคลื่อนที่แรงตามทิศทางของแท่งแรก
- แท่งที่ 3: แท่งต่อจากแท่งกลาง เปิดห่างจากแท่งแรก และไม่ทับช่วงราคาของแท่งที่ 1
- เกิด “ช่องว่างของราคา” ระหว่างแท่งเทียน: บ่งชี้ว่ามีคำสั่งซื้อขายหายไปในช่วงเวลาดังกล่าว หรือไม่มีการจับคู่คำสั่งในราคานั้นเลย
- เป็นรูปแบบทางเทคนิคชัดเจน: ใช้กฎแท่งเทียน 3 แท่งในการระบุ จึงสามารถตรวจสอบซ้ำได้ชัดเจนบนกราฟ
- มักใช้ในการคาดเดาว่าราคาจะย้อนกลับมาเติมเต็ม (Fill Gap): เพราะตลาดมักมีแนวโน้มจะกลับมาเทรดในโซนที่คำสั่งยังไม่ได้จับคู่ก่อนหน้า
- นิยมใช้ในกลยุทธ์การเทรดแนว Smart Money: โดยใช้ FVG เป็นจุดสังเกตว่าเป็น “รอยเท้า” ของสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่
สรุปให้เข้าใจง่ายๆ
วิธีใช้ Imbalance ในการเทรด
Imbalance สามารถใช้เป็นจุดเข้าเทรดได้ และสามารถใช้ร่วมกับ Order Block ได้อีกด้วย
ใช้เป็นจุดเข้าเทรด (Entry Zone)
- เมื่อราคาวิ่งออกจากโซน Imbalance อย่างรวดเร็วและชัดเจน แสดงว่าบริเวณนั้นมีคำสั่งซื้อขายจำนวนมากที่ “ยังไม่ได้ถูกจับคู่” ซึ่งหมายความว่าโซนนั้นมีแนวโน้มที่ราคาจะย้อนกลับไปทดสอบในอนาคต
- ถ้าราคากลับมาแตะบริเวณ Imbalance อีกครั้ง สามารถเข้าออเดอร์ โดยตั้ง Stop Loss ไว้ใต้/เหนือโซนนั้น
- ตัวอย่าง
- เกิด “Bullish Imbalance” ให้ “รอราคาย่อลงมาแตะโซนนั้นก่อนค่อย Buy”
- เกิด “Bearish Imbalance” ให้ “รอราคาดีดขึ้นมาแตะโซนนั้นค่อย Sell”
ใช้ร่วมกับ Liquidity Zone / Order Block
- การพิจารณา Imbalance ควบคู่กับโซน Liquidity หรือ Order Block จะช่วยให้เห็น “จุดวางคำสั่งของรายใหญ่” ได้ชัดขึ้น
- โซนเหล่านี้มักมีออเดอร์ค้างอยู่ถ้า Imbalance เกิดบริเวณเดียวกันแสดงถึงความแรงและความตั้งใจของสถาบันนั่นเอง
- กลยุทธ์ที่ใช้ได้
- หาก Order Block และ Imbalance ซ้อนทับกัน “เพิ่มโอกาสในการกลับตัวสูง”
- รอให้ราคาเข้าใกล้ Imbalance + มี Rejection หรือแท่งเทียนกลับทิศก่อนค่อยเข้าเทรด
ข้อควรระวัง
- ไม่ใช่ทุก Imbalance จะได้ผล: บางครั้งราคาอาจไม่ย้อนกลับมาทดสอบ หรือกลับมาแล้วทะลุไปเลย ทำให้ต้องมีการตั้ง Stop Loss อย่างเหมาะสม
- ต้องดูบริบทของกราฟเสมอ: เช่น Imbalance อยู่ตรงจุดไหนของโครงสร้างราคา? อยู่ใกล้แนวรับ/ต้านหลักหรือไม่? ถ้าอยู่กลางเทรนด์ หรือช่วง Sideway ก็อาจไม่น่าเทรด
- อย่าใช้ Imbalance เพียงอย่างเดียว: การเทรดด้วย Imbalance เพียวๆอาจไม่ค่อยแม่นควรใช้ร่วมกับ
- การอ่านโครงสร้างตลาด (Market Structure)
- เครื่องมืออื่น เช่น FVG , OB
บทสรุปสำหรับ Imbalance ใน Forex
Imbalance เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักเทรดเข้าใจว่า “ตลาดขาดความสมดุลที่ตรงไหน” และจุดไหนคือ “พื้นที่สำคัญ” ที่อาจมีแรงซื้อขายขนาดใหญ่เข้ามาได้อีกครั้ง แม้จะไม่ใช่ตัวบ่งชี้ทิศทางโดยตรง แต่ Imbalance ช่วยให้คุณวางแผนการเข้าออกได้มีประสิทธิภาพ และเป็นแนวทางสำคัญในกลยุทธ์ของสาย Smart Money อย่างแท้จริง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- SMC Smart Money Concept คืออะไร: https://forexbrokerking.com/smart-money-concept/
- Fair Value GAP คืออะไร: https://forexbrokerking.com/fair-value-gap/
- Order Block คืออะไร ใน Forex: https://forexbrokerking.com/order-block/
- Demand Supply Zone คืออะไร? เปลี่ยนจากโซนธรรมดาสู่โซนทำเงิน: https://forexbrokerking.com/demand-supply-zone/
- ระบบเทรด Candle Rejection อ่านแท่งเทียนแล้วเริ่มทำกำไร: https://forexthai.in.th/candle-rejection-system/