Highlight

  • Read The Market (RTM) คือ แนวคิดและเทคนิคการวิเคราะห์พฤติกรรมราคาที่เกิดจากแรงซื้อและแรงขายจริงในตลาด เน้นการ อ่านพฤติกรรมของราคา (Price Action) และโครงสร้างตลาดเป็นหลัก
  • RTM แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ Past (อดีต) , Approach (แนวโน้ม) , Reaction (ปฏิกิริยา)
  • Read The Market (RTM) ต่างจาก Smart Money Concept (SMC) ตรงที่ RTM เจาะลึกพฤติกรรมราคามากกว่า เช่น Compression และ Reaction ต่างๆ แต่ SMC จะเน้นภาพรวมของโครงสร้างตลาดเช่น Liquidity และ Order Block

Read The Market (RTM) คืออะไร

  • RTM หรือ Read The Market คือเทคนิคการวิเคราะห์พฤติกรรมราคาที่เกิดจากแรงซื้อและแรงขายจริงในตลาด โดยมีรากฐานมาจากการทำความเข้าใจ “Market Structure”
  • RTM ไม่เน้นใช้ Indicator แต่เน้นการ อ่าน “พฤติกรรมของราคา (Price Action)” และโครงสร้างตลาดเป็นหลัก เพื่อให้เข้าใจว่า “ทำไมราคาเคลื่อนไหวแบบนั้น”
  • ผู้พัฒนาแนวคิดนี้คือ Ifmyante ซึ่งได้สร้างคอมมิวนิตี้และหลักสูตรเพื่อสอน RTM แก่เทรดเดอร์ทั่วโลก

แนวคิดหลักของ RTM

  • Supply Demand Zones: เป็นบริเวณที่มีแรงซื้อแรงขายสูง ทำให้มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคา
  • Market Structure: เข้าใจการสร้าง Higher High/Lower Low เพื่อจับเทรนด์
  • Price Action & Patterns: เป็นเหมือนภาษาของกราฟที่บอกใบ้สิ่งที่จะเกิด เช่น Quasimodo (QM), Engulfing, The CanCan
  • 3 Steps อ่านตลาด
    • Past (อดีต)
    • Approach (แนวโน้ม)
    • Reaction (ปฏิกิริยา)

ส่วนที่ 1 Past (อดีต) แกะรอยพฤติกรรมราคาที่ทิ้งไว้

Supply and Demand

Demand Supply Zone แบ่งออกเป็น 4 รูปแบบหลักซึ่งแต่ละแบบมี “พฤติกรรมราคา” ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

  • Supply Zones: บริเวณที่ในอดีตมีแรงขายเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ราคาร่วงลง เมื่อราคากลับขึ้นมาที่โซนเหล่านี้อีกครั้ง มีโอกาสสูงที่จะเกิดแรงขายกดดันราคาลงอีกครั้ง
  • Demand Zones: บริเวณที่ในอดีตมีแรงซื้อเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ราคาดีดตัวขึ้น เมื่อราคากลับลงมาที่โซนเหล่านี้อีกครั้ง มีโอกาสสูงที่จะเกิดแรงซื้อผลักดันราคาขึ้นอีกครั้ง
  • ก่อนที่เราจะไปดูลักษณะของ Demand Supply zone มารู้จักกับ 3 คำที่สำคัญมากๆกันก่อนครับ
    • Drop: คือช่วงที่ราคา “ดิ่งลง”
    • Base: คือช่วงที่ราคา “พักตัว” (จุดนี้เอาไว้ตีโซน Demand Supply Zone)
    • Rally: คือช่วงที่ราคา “พุ่งขึ้น”

Caps on Price

Caps on Price คือการที่กราฟทำ Drop Base Rally และ Rally Base Drop

Caps on Price รูปแบบที่แสดงถึงการหยุดพักของราคา (Base) ก่อนที่จะมีการเคลื่อนที่ลง (Drop) หรือขึ้น (Rally) อย่างรวดเร็ว มักเป็นโซน Supply หรือ Demand ที่มีความน่าเชื่อถือสูง

  • Drop Base Rally
    • Drop: เริ่มจากราคาลงแรงๆ หรือการขายที่หนัก
    • Base: พักฐานและสะสมแรงในช่วงนี้
    • Rally: ราคากลับตัวอย่างชัดเจน
    • เป็นจุดที่ Smart Money เข้ามาเก็บออเดอร์สะสมไว้ กลายเป็น Demand Zone
  • Rally Base Drop
    • Rally: ราคาเริ่มขึ้นแรงๆ
    • Base: พักฐานที่สะสมออเดอร์
    • Drop: ราคาทุบลงหนักๆ เป็นสัญญาณของแรงขายที่กลับมา
    • โซน Base นี้จะกลายเป็น Supply Zone ที่สำคัญ

Flag Limits

Flag Limits คือการที่กราฟทำ Rally Base Rally และ Drop Base Drop

Flag Limits คล้ายกับ Caps on Price แต่เกิดขึ้นภายในรูปแบบ Flag บ่งบอกถึงจุดสิ้นสุดของการพักตัวและโอกาสในการเทรดตามแนวโน้มหลัก

  • Rally Base Rally
    • Rally: ราคาเริ่มวิ่งขึ้นต่อเนื่องแสดงถึงเทรนด์ขาขึ้นที่แข็งแรง
    • Base: ราคามีการมาพักฐาน
    • Rally: แรงซื้อยังไม่หมด กราฟมีการขึ้นไปต่อเรื่อยๆ
    • ใช้ Demand Zone ที่อยู่ใน Base เป็นจุด Entry Buy ที่ดี
  • Drop Base Drop
    • Drop: เริ่มจากราคาร่วงลงแรงๆ แสดงถึงเทรนด์ขาลงที่ชัดเจน
    • Base: ราคาพักตัว
    • Drop: การร่วงต่อเนื่องแบบชัดเจนบ่งบอกว่าแรงขายยังมีอยู่
    • ใช้ Supply Zone ที่ Base เพื่อเข้า Sell

Support and Resistance

Support เป็นเหมือน “พื้นของราคา” ส่วน Resistance เป็นเหมือน “เพดานของราคา”

นอกเหนือจากโซน Supply Demand แล้ว ระดับราคาที่เคยเป็นจุดสูงสุดหรือต่ำสุดในอดีตก็มีความสำคัญ เนื่องจากมักเป็นบริเวณที่เทรดเดอร์มักให้ความสนใจ

  • แนวรับ (Support) คืออะไร?
    • คือระดับราคาที่มักจะหยุดลง หรือเกิดแรงซื้อกลับเข้ามา
    • เหมือน “พื้น” ที่คอยรับราคาไม่ให้ตกลงไปลึกกว่านี้
  • แนวต้าน (Resistance) คืออะไร?
    • คือระดับราคาที่มักจะหยุดขึ้น หรือเจอแรงขายกดกลับลงมา
    • เหมือน “เพดาน” ที่ราคาขึ้นไปชนแล้วตกลง

Price Action Zones

Price Action Zones เป็นเหมือนจุดโฟกัสที่น่าสนใจของเทรดเดอร์

Price Action Zones เป็นบริเวณที่เกิดรูปแบบ Price Action ที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมหรือการพักตัวของราคา ช่วยให้เทรดเดอร์โฟกัสไปที่บริเวณที่มีโอกาสเกิดการเคลื่อนไหว

  • ดูแท่งเทียน: แท่งเทียนยาวที่แสดงถึงแรงซื้อ หรือแรงขาย ที่แข็งแกร่ง มักเป็นสัญญาณของการ Breakout จากโซนหรือแนวรับแนวต้าน
  • Supply/Demand: การซ้อนทับกันของโซน Supply หรือ Demand หลายๆ โซนในบริเวณใกล้เคียง ทำให้เป็นเหมือนโซนที่แข็งแรงมากกว่าเดิมนั่นเองครับ การที่หลายโซนมาอยู่ใกล้กันแสดงว่าบริเวณนั้นมีความสนใจจากเทรดเดอร์จำนวนมาก
  • Compression: การบีบตัวของราคาในกรอบแคบๆ แสดงถึงการสะสมพลังก่อนการ Breakout เมื่อราคาเคลื่อนที่ในกรอบที่แคบลงเรื่อยๆ โดยมี High ที่ต่ำลงและ Low ที่สูงขึ้น สรุปง่ายๆคือกำลังจะมีการระเบิดของราคาในไม่ช้านั่นเองครับ

Fail to Return (FTR)

Fail to Return คือการที่กราฟไม่สามารถกลับไปแตะยังโซนเก่าได้

Fail to Return (FTR) รูปแบบที่ราคาไม่สามารถกลับไปยังโซน Supply หรือ Demand ก่อนหน้าได้ แสดงถึงความแข็งแกร่งของโมเมนตัมปัจจุบัน

  • ถ้าราคา Breakout จากโซนสำคัญแล้วไม่สามารถกลับไปทดสอบโซนนั้นได้ แสดงว่าโมเมนตัมในทิศทาง Breakout นั้นแข็งแกร่งมากๆ
  • สรุปง่ายๆคือเป็นรูปแบบการพักฐานเฉยๆแล้วไปต่อไม่ได้กลับมา Retest นั่นเองครับ

ส่วนที่ 2 Approach (แนวโน้ม) วิเคราะห์การเคลื่อนที่เข้าสู่โซนสำคัญ

Compression

Compression คือการที่ราคามีการบีบตัวใกล้จุดสำคัญและรอการ Breakout

Compression คือ การบีบตัวของราคาขณะเข้าใกล้โซนสำคัญ มีแรงรอ Breakout และอาจทำให้ราคาเกิดการเคลื่อนที่ที่รุนแรงเมื่อราคาถึงโซน

  • การสังเกต Volume ในช่วง Compression ก็สำคัญ หาก Volume ลดลง แสดงว่าแรงขายหรือแรงซื้อกำลังรอจังหวะ
  • สรุปง่ายๆ คือความหมายตรงตัวเลยครับ เป็นเหมือนการกระจุกตัวของราคานั่นเอง

Three Drives Pattern

Three Drives Pattern คือ รูปแบบการกลับตัวของราคา ช่วงที่ 2 และ 3 มักยาวเท่ากัน

Three Drives Pattern คือ รูปแบบที่ราคาเคลื่อนที่เป็น 3 ช่วง มักเป็นสัญญาณของการอ่อนแรงของแนวโน้มปัจจุบัน และมีโอกาสเกิดการกลับตัวเมื่อราคาถึงโซนเป้าหมาย ประกอบด้วย 3 ช่วงของการเคลื่อนที่ของราคา คั่นด้วย 2 ช่วงของการพักตัว สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  • Bullish Three Drive
    • เกิดในแนวโน้มขาลง
    • ราคาสร้าง Lower Low (LL) 3 ครั้งติดต่อกัน โดยแต่ละ LL จะต่ำกว่า LL ก่อนหน้า
    • ช่วงที่ 2 และ 3 มักจะมีความยาวเท่ากัน
    • เป็นสัญญาณของการกลับตัวขึ้น
  • Bearish Three Drive
    • เกิดในแนวโน้มขาขึ้น
    • ราคาสร้าง Higher High (HH) 3 ครั้งติดต่อกัน โดยแต่ละ HH จะสูงกว่า HH ก่อนหน้า
    • ช่วงที่ 2 และ 3 มักจะมีความยาวเท่ากัน
    • เป็นสัญญาณของการกลับตัวลง
  • การพักตัวมักจะอยู่ที่ระดับ Fibonacci 61.8% หรือ 6% ของช่วงก่อนหน้า

ส่วนที่ 3 Reaction (ปฏิกิริยา) สังเกตพฤติกรรมราคา

Quasimodo Pattern

Quasimodo Pattern คือรูปแบบการกลับตัวของราคาที่เหมือนไหล่ที่ไม่เท่ากัน

Quasimodo Pattern คือ รูปแบบการกลับตัวของราคา ที่มักเกิดหลังจากการเบรกโครงสร้างเดิม แล้วราคาย้อนกลับมาที่ระดับสำคัญ (QML) เป็นที่นิยมในสายเทรดแบบ Smart Money สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

  • Bullish QM: เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดมีการกลับตัวจากขาลง มาสู่ขาขึ้น โดยมี Pattern คือ
    • Lower Low แล้วพุ่งขึ้นทำ Higher High
    • ย่อกลับลงมาใกล้โซน QML
    • จุดเข้าเทรด: เข้าจุดที่ราคาย่อลงมาจนใกล้ QML ถือเป็นจุดที่เหมาะสมในการเปิดออร์เดอร์ Buy โดยมีการตั้งจุด Stop Loss ที่ต่ำกว่า QML
  • Bearish QM: เกิดในช่วงที่ตลาดมีการกลับตัวจากขาขึ้น มาสู่ขาลง โดยมี Pattern คือ
    • Higher High จากนั้นดิ่งลงทำ Lower Low
    • ดีดกลับขึ้นมาทดสอบ QML
    • จุดเข้าเทรด: เข้าเทรดเมื่อราคากลับขึ้นมาทดสอบ QML ตั้งจุด Stop Loss ที่สูงกว่า QML และ Take Profit ที่ Low หรือแนวรับถัดไป

Engulfing

Engulfing คือการที่แท่งเทียนปัจจุบันกลืนกินแท่งเทียนก่อนหน้าจนหมด

Engulfing คือ รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวที่สำคัญ โดยแท่งเทียนปัจจุบันมีขนาดใหญ่กว่าและ “กลืนกิน” (ปิดเหนือ High และต่ำกว่า Low ของ) แท่งเทียนก่อนหน้าอย่างสมบูรณ์

  • Bullish Engulfing
    • เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง , บริเวณแนวรับ หรือDemand Zone ที่สำคัญ
    • แรงซื้อที่แข็งแกร่งเข้ามาควบคุมตลาด และมีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวขึ้น
    • ความน่าเชื่อถือจะสูงขึ้นถ้าเกิดใกล้แนวรับสำคัญ หรือในโซน Demand ที่แข็งแกร่ง
    • ควรพิจารณา Volume ประกอบ หากแท่ง Engulfing มี Volume สูง จะยิ่งเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งครับ
  • Bearish Engulfing
    • เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น , บริเวณแนวต้าน หรือ Supply Zone ที่สำคัญ
    • แรงขายที่แข็งแกร่งเข้ามาควบคุมตลาด และมีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวลง
    • ความน่าเชื่อถือจะสูงขึ้นหากเกิดใกล้แนวต้านสำคัญ หรือในโซน Supply ที่แข็งแกร่ง
    • ควรพิจารณา Volume ประกอบ หากแท่ง Engulfing มี Volume สูง จะยิ่งเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่ง
  • ข้อควรระวัง
    • Engulfing ที่มีขนาดเล็ก อาจไม่ใช่สัญญาณที่แข็งแกร่ง
    • ควรพิจารณาบริบทของตลาดและตำแหน่งที่เกิด Engulfing เสมอ
    • อย่าลืมรอการยืนยันจากแท่งเทียนถัดไปก่อนตัดสินใจเข้าเทรดด้วยนะครับ

The Can Can Pattern

Can Can Pattern  คือรูปแบบการเข้าเทรดหลังการ Breakout จาก Caps on Price หรือ Flag Limits

The Can Can คือ รูปแบบ Price Action ที่ซับซ้อน มักปรากฏหลังการ Breakout ของโซนสำคัญ บ่งบอกถึงการเคลื่อนที่ตามแนวโน้มหลักอย่างต่อเนื่อง

  • ลักษณะสำคัญ
    • เกิดขึ้นหลังจากการ Breakout โซน Supply หรือ Demand ที่แข็งแกร่ง
    • ในแนวโน้มขาขึ้น: ราคาสร้าง Higher High (HH) แล้วย่อตัวสร้าง Higher Low (HL) หลายครั้งติดต่อกัน โดยแต่ละ HL จะสูงกว่า HL ก่อนหน้า
    • ในแนวโน้มขาลง: ราคาสร้าง Lower Low (LL) แล้วดีดตัวสร้าง Lower High (LH) หลายครั้งติดต่อกัน โดยแต่ละ LH จะต่ำกว่า LH ก่อนหน้า
    • จุดเข้าเทรดมักจะอยู่ที่บริเวณ HL ล่าสุดในแนวโน้มขาขึ้น หรือ LH ล่าสุดในแนวโน้มขาลง
  • ข้อควรสังเกต
    • จำนวน Higher Lows/Lower Highs ที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างกันไป
    • ความชันของแนวโน้มในช่วง The CanCan ควรมีความสม่ำเสมอ

Diamond Pattern

Diamond Pattern หรือรูปแบบราคาที่ช่วงแรกเกิด HH และ LL ส่วนช่วงหลังเกิด LH และ HL

Diamond Pattern คือ รูปแบบราคาที่แสดงถึงความไม่แน่นอนของตลาด มักเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาหมดแรงในแนวโน้มปัจจุบัน และกำลังเตรียมตัวที่จะกลับตัว

  • มีลักษณะคล้ายรูปเพชร เกิดจากการรวมตัวของรูปแบบสามเหลี่ยม Expanding Triangle (ช่วงแรก) และ Contracting Triangle (ช่วงหลัง)
    • ช่วงแรก: ราคาจะแกว่งตัวกว้างขึ้น ทำ Higher Highs และ Lower Lows
    • ช่วงหลัง: ราคาจะแกว่งตัวแคบลง ทำ Lower Highs และ Higher Lows
    • สำหรับเทรดเดอร์ที่ยังงงๆ สามารถดูตัวอย่างได้จากรูปเลยครับรับรองหายงงแน่นอน
    • Diamond Pattern ยังมีอีกหลายรูปแบบสำหรับเทรดเดอร์ที่อยากอ่านต่อ คลิกเลย
  • การใช้งาน
    • โดยทั่วไป จะรอการ Breakout ออกจากกรอบ Diamond ก่อนตัดสินใจเข้าเทรด
    • ทิศทางการ Breakout จะบ่งบอกถึงทิศทางของการเคลื่อนที่ครั้งใหม่
    • สามารถใช้ Fibonacci Extension เพิ่มความแม่นยำของจุด TP
    • สังเกตง่ายๆ Volume มักจะลดลงในช่วงการก่อตัวของ Diamond และเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเกิดการ Breakout นั่นเองครับ

RTM ต่างจาก SMC ยังไง?

RTM (Read The Market) และ SMC (Smart Money Concept) เป็นแนวทางวิเคราะห์ราคาที่นิยมในกลุ่มเทรดเดอร์มืออาชีพ โดยทั้งสองแนวคิดมีเป้าหมายเดียวกันคือการ “เข้าใจตลาด” แต่ใช้วิธีการวิเคราะห์ตลาด ที่แตกต่างกันเล็กน้อยดังนี้

RTM (Read The Market)

  • เน้นการอ่านพฤติกรรมราคา: วิเคราะห์พฤติกรรมราคาที่ทิ้งไว้ในอดีต เพื่อระบุโซน Supply และ Demand ที่สำคัญ และรูปแบบ Price Action ต่างๆ
    • หลักการ: ให้ความสำคัญกับการเข้าใจว่าราคา “ทำอะไร” ที่ระดับต่างๆ มากกว่าที่จะพยายามระบุว่าทำไม เทรดเดอร์รายใหญ่ถึงเคลื่อนไหวแบบนั้นนั้น
  • องค์ประกอบหลัก
    • Supply and Demand Zones ที่ระบุจากพฤติกรรมราคาในอดีต
    • Price Action Patterns เช่น Quasimodo, Engulfing, Compression, Flag Limits
    • การวิเคราะห์ 3 ส่วน Past (อดีต) , Approach (แนวโน้ม) และ Reaction (ปฏิกิริยา)
  • คำศัพท์: ใช้คำศัพท์ Price Action ทั่วไป
  • มุมมองตลาด: ตลาดเคลื่อนไหวตามกฎของ Supply และ Demand ที่สะท้อนออกมาใน Price Action

SMC (Smart Money Concept)

  • เน้นตามสถาบัน: แกะร่องรอยของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ (Smart Money) เพื่อทำให้ไม่พลาดจังหวะเข้าเทรด
    • หลักการ: พยายาม “ตามรอย” Smart Money โดยวิเคราะห์ Order Blocks, Liquidity Grabs, Fair Value Gaps และการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตลาด
  • องค์ประกอบหลัก
    • Order Blocks: บริเวณที่มีคำสั่งซื้อขายจำนวนมากของสถาบัน
    • Liquidity Grabs: ล่า Stop Loss เพื่อสร้างสภาพคล่อง
    • Fair Value Gaps: ช่วงราคาที่เคลื่อนที่เร็วโดยไม่มีสมดุลของคำสั่ง
    • Market Structure: Break of Structure , Change of Character
  • คำศัพท์: มีคำศัพท์เฉพาะ เช่น Order Block , Liquidity Grab , BOS , CHoCH
  • มุมมองตลาด: ตลาดมีการ “ควบคุม” หรือ “Manipulate” โดย Smart Money

บทสรุปสำหรับ Read The Market (RTM)

RTM นี่คือสุดยอดแนวทางวิเคราะห์ราคาแบบตรงๆ เน้น ไม่ต้องง้ออินดิเคเตอร์ให้วุ่นวาย RTM จะพาเราไปโฟกัสที่ โซน Supply/Demand , รูปแบบ Price Action ต่างๆที่เกิดขึ้นและการเคลื่อนไหวของราคาใน 3 ช่วงหลักๆ คือ อดีต (Past) , แนวโน้ม (Approach) , และ ปฏิกิริยา (Reaction) บอกเลยว่าถ้าเข้าใจแก่นของ RTM จะหาจังหวะเข้าเทรดได้แบบแม่นมากๆ และที่สำคัญคือเราจะเข้าใจตลาดอย่างแท้จริงนั่นเองครับ

แหล่งข้อมูลอ้างอิง